ตลาดหม้อไฟมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทกำลังเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ ‘CRG’ เครือร้านอาหารยักษ์ใหญ่ตัดสินใจรุกฆาตด้วยการเข้าสู่สมรภูมินี้อย่างเต็มตัว ผ่านการเข้าซื้อหุ้นในแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ หนึ่งในคู่แข่งรายสำคัญของสุกี้ตี๋น้อยและโบนัสสุกี้ ด้วยเม็ดเงินเกือบ 1 พันล้านบาทเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
ในมุมของผู้บริโภคทั่วไป นี่อาจเป็นเรื่องใหม่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดี แต่ในมุมของ THE STANDARD WEALTH นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เพราะ CRG ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนมาตลอดว่าต้องการเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอในส่วนนี้
หากพิจารณาในเชิงกลยุทธ์ ดีลนี้เปรียบเสมือน ‘Win-Win Strategy’ ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ในมุมของตัวเอง แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ‘ประโยชน์’ ที่ว่านั้นมีรายละเอียดอย่างไร และทำไมดีลนี้ถึงเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
การย้อนกลับไปดูไทม์ไลน์ความเคลื่อนไหวของ CRG จะช่วยฉายภาพให้เห็นความตั้งใจนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของแม่ทัพใหญ่ที่วางรากฐานความคิดนี้มาก่อนหน้านี้ร่วมสองปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เป้าหมาย CRG อยากเปิดร้านชาบูเสริมพอร์ตธุรกิจ ย้ำไม่ง่าย! ต้องทำการบ้านหนัก หวังท้าชนเจ้าตลาด
- ชิมลางตลาดปิ้งย่างไปแล้ว CRG แย้มยังขาดร้านชาบู-สุกี้ ปีนี้จ่อเปิด 2 แบรนด์ใหม่เป็น JV เลือกจากแบรนด์ที่มียอดขาย 500 ล้านขึ้น!
- วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า?
ตามหา ‘จิ๊กซอว์’ ที่หายไป กับภารกิจเติมพอร์ตที่รอคอยมานาน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2024 ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หนึ่งในทิศทางสำคัญของบริษัทคือการขยายพอร์ตโฟลิโอร้านอาหาร ด้วยการมองหาแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมธุรกิจ โดยตลาดที่มองว่าน่าสนใจที่สุดคือร้านชาบูสุกี้ ซึ่งมีโจทย์สำคัญว่าจะต้องเป็นร้านที่แตกต่างจากคู่แข่งเดิมในตลาด ราคาจับต้องได้ไม่สูงจนเกินไป และต้องมีโมเดลธุรกิจที่ขยายสาขาได้อย่างคล่องตัว
เซกเมนต์สุกี้บุฟเฟต์ถือเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีอยู่ในพอร์ตของ CRG โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะใช้รูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) กับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง เพื่อนำจุดแข็งและความเชี่ยวชาญมาสร้างโอกาสเติบโตไปพร้อมกัน
แม้กระทั่งเข้าสู่เดือนเมษายน ปี 2025 ณัฐ ยอมรับว่าที่ผ่านมายังไม่สามารถปิดดีลร้านชาบูสุกี้ได้ เนื่องจากการเฟ้นหาแบรนด์ที่ ‘ใช่’ และเหมาะสมที่สุดไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ยืนยันว่าบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอย่างเข้มข้น
บทสรุปของการค้นหามาลงตัวที่การตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท มิราเคิล แพลนเนท (MP) ผู้บริหารแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ ในสัดส่วน 40% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 940 ล้านบาท ดีลดังกล่าวนับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์ของ CRG ที่สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการรุกตลาดร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ เพื่อเติมเต็มจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์แบบ
การขยับตัวครั้งนี้ไม่เพียงทำให้พอร์ตธุรกิจของ CRG มีความครบวงจรยิ่งขึ้น แต่ยังตอกย้ำยุทธศาสตร์ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง เพราะในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าร่วมลงทุนในหลายแบรนด์ศักยภาพ อาทิ Salad Factory, Brown ชานมไข่มุก, ส้มตำนัว และ Shinkanzen Sushi ซึ่งล้วนเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ชิ้นสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนให้ CRG เดินหน้าสู่เป้าหมายการเติบโตได้อย่างมั่นคง
ความชัดเจนนี้เกิดขึ้นเมื่อ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL บริษัทแม่ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติให้ CRG เข้าลงทุนใน มิราเคิล แพลนเนท อย่างเป็นทางการ ซึ่งปัจจุบัน MP ถือเป็นผู้ประกอบการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาขาให้บริการรวม 38 สาขา แบ่งเป็น ลัคกี้สุกี้ 27 สาขา และ ลัคกี้บาร์บีคิว 11 สาขา สะท้อนถึงศักยภาพที่พร้อมต่อยอดในทันที

ในมุมมองของแม่ทัพใหญ่อย่าง ณัฐ วงศ์พานิช ได้กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นการจับมือของสององค์กรที่มีความแข็งแกร่งเพื่อนำศักยภาพที่ดีที่สุดมาผนึกกำลังกัน โดยเล็งเห็นว่าธุรกิจสุกี้บุฟเฟต์เป็นตลาดที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีความโดดเด่นในตลาด และมีฐานลูกค้าชาวไทยที่เหนียวแน่น
“บริษัทจะนำความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจอาหาร เทคโนโลยี และเครือข่ายพันธมิตรทางการค้า เข้าไปสนับสนุนให้ มิราเคิล แพลนเนท มีการเติบโตทั้งด้านผลการดำเนินงาน และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วตามเป้าหมาย”
เปิดใจ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ทำไมต้องเป็น CRG
ในฝั่งของผู้บริหารแบรนด์ รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ได้เปิดเผยข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟกับ THE STANDARD WEALTH ว่าดีลครั้งนี้ใช้เวลาเจรจานานกว่า 1 ปี และย้ำชัดว่า “ขอยืนยันว่าไม่ใช่การขายกิจการ เพราะผู้ก่อตั้งยังถือหุ้นใหญ่และยังคงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในทิศทางธุรกิจ” พร้อมยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีกลุ่มทุนหลายรายสนใจเข้ามา แต่สาเหตุที่เลือก CRG เพราะมองเห็นวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างแท้จริง
รสรินทร์ ขยายความว่า หากจะหาแค่พาร์ตเนอร์ที่มีเพียง ‘เงินทุน’ นั้นมีตัวเลือกจำนวนมาก แต่การจะก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ระดับแถวหน้าของตลาด จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่ช่วยเติมเต็มศักยภาพทั้งระบบการจัดการ ประสบการณ์ และเครือข่ายสาขา ซึ่ง CRG คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด เพราะมีแบรนด์ในเครือกว่า 20 แบรนด์ และอยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัลที่มีคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
จุดแข็งของ CRG จะเข้ามาเสริมในจุดที่ลัคกี้ยังขาด ไม่ว่าจะเป็นระบบหลังบ้าน มาตรฐานการบริหารจัดการ อีโคซิสเท็ม และระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และวัดผลได้ชัดเจน ในขณะที่ทีมปฏิบัติการหน้าร้านยังคงเป็นทีมผู้ก่อตั้งเดิมทั้งหมด เพราะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมกับแบรนด์และมีความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า

อีกประเด็นสำคัญที่ รสรินทร์ ได้ชี้แจงคือความกังวลเรื่องพื้นที่เช่า โดยยอมรับว่าหลังดีลมีผล เจ้าของพื้นที่หลายราย (Landlords) มีความกังวลว่าลัคกี้อาจหยุดขยายสาขากับศูนย์การค้าอื่นและผูกขาดกับเซ็นทรัล
แต่บริษัทได้ยืนยันหนักแน่นว่าการบริหารงานยังเป็นอิสระ และยังคงขยายสาขาตามศักยภาพพื้นที่เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น โรบินสัน โลตัส บิ๊กซี หรือคอมมูนิตี้มอลล์อื่นๆ โดยไม่ได้จำกัดเพียงเครือใดเครือหนึ่ง
เร่งเครื่องขยายสาขาและสร้าง Economies of Scale
สำหรับแผนการขยายธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทฯ เล็งขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดปีละ 20–25 สาขา ทั้งแบรนด์ลัคกี้ สุกี้ และลัคกี้ บาร์บีคิว โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี จะสามารถมีจำนวนสาขาแตะระดับ 100–120 สาขาทั่วประเทศ การมีทีมจาก CRG เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) จะทำให้การตัดสินใจเลือกทำเลรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรที่ซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ ยังมีแผนเตรียมแตกไลน์แบรนด์ใหม่ในอีก 2–3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ในเซกเมนต์อื่นที่ไม่ใช่สุกี้ เพื่อเน้นตอบโจทย์ความคุ้มค่า ส่วนแผนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมีอยู่ในโรดแมป แต่ยังไม่ใช่จังหวะเวลาในตอนนี้ เพราะต้องการสร้างการยอมรับและพิสูจน์รากฐานให้แข็งแกร่งกว่านี้ก่อน

ในมุมมองของนักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ประเมินว่าดีลนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจผ่านการเร่งขยายสาขา เพื่อไล่กวดผู้นำตลาดรายใหญ่ที่มีสาขามากกว่า 90 แห่งให้ทันท่วงที โดยผู้บริหารมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตก้าวกระโดดจาก 1 พันล้านบาทในปีนี้ สู่ระดับ ‘3 พันล้านบาท’ ภายในปี 2569 สอดคล้องกับมุมมองของ บล.เอเชียพลัส ที่ชี้ว่าเครือข่ายของเซ็นทรัลจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดด้านทำเลให้สามารถ ‘บุกตลาดทั่วประเทศ’ ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
แม้การเร่งขยายตัวอาจกดดันให้อัตรากำไรลดลงบ้างในช่วงแรก แต่การนำระบบบริหารจัดการระดับมืออาชีพของ CRG มาใช้จะช่วยสร้าง ‘Economies of Scale’ ได้ในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันอัตรากำไรสุทธิของลัคกี้อยู่ที่ 10.7% ยังมีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกเมื่อเทียบกับเบอร์หนึ่งในตลาดที่ทำได้ถึง 16.6% โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความคุ้มค่าชัดเจนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ประเมินว่า ลัคกี้ สุกี้ จะกลายเป็น ‘ดาวรุ่งดวงใหม่’ ที่มีบทบาทสำคัญในพอร์ตบริษัทร่วมทุน โดยคาดว่าจะเป็นส่วนเพิ่มกำไรให้กับ CENTEL ได้ราว 2% หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของกำไรในกลุ่มธุรกิจอาหารร่วมทุนทั้งหมด ถือเป็นการวางหมากสำคัญที่เน้นการเติบโตของ ‘เม็ดเงินกำไร’ ในระยะยาวมากกว่าแค่การรักษาระดับอัตรากำไรในระยะสั้น และผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือผู้บริโภคที่จะได้สัมผัสมาตรฐานใหม่ของความคุ้มค่าที่ทั่วถึงยิ่งขึ้น
การปิดดีลในหน้ากระดาษอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่บทพิสูจน์ที่แท้จริงกำลังรออยู่ในสมรภูมิจริง เดิมพันครั้งนี้จึงไม่ได้วัดกันแค่ตัวเลขกำไร แต่วัดกันที่ความสามารถในการ ‘ถอดรหัส’ ความสำเร็จของลัคกี้ แล้วขยายผลด้วยศักยภาพของ CRG โดยไม่ทำลายจิตวิญญาณเดิม หากสมการนี้ลงตัว นี่จะไม่ใช่เพียงการเติมพอร์ตธุรกิจ แต่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่อาจทำให้บัลลังก์เจ้าตลาดสุกี้เมืองไทยต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
อ้างอิง:
- https://www.settrade.com/th/research/iaa-consensus/327246
- https://www.settrade.com/th/research/iaa-consensus/327778


