×

Yakiniku Like ยอมรับ ‘เมนูน้อย-ราคาสูง’ ขอปรับลดราคาลง ก่อนคอลแล็บฟ้าไทย เปิดตัวเมนูใหม่ ดึงลูกค้าเข้าร้าน ตั้งเป้าอีก 3 ปีดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

19.11.2025
  • LOADING...
Yakiniku Like ยอมรับ เมนูน้อย-ราคาสูง ขอปรับลดราคาลง ก่อนคอลแล็บ ฟ้าไทย เปิดตัวเมนูใหม่ ดึงลูกค้าเข้าร้าน ตั้งเป้าอีก 3 ปีดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

Yakiniku Like แบรนด์ปิ้งย่างสไตล์ Fast Casual สัญชาติญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 ด้วยการชูโมเดลร้านที่นั่งกินปิ้งย่างแบบส่วนตัว ที่มาพร้อมกับเตาย่างไร้ควัน ซึ่งแบรนด์มั่นใจว่าลดกลิ่นติดเสื้อผ้า พร้อมเสิร์ฟเร็วเฉลี่ยเพียง 3 นาที โดยหลังจากเปิดตัวได้ไม่นานก็ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว จนสามารถขยายสาขาในญี่ปุ่นครอบคลุมกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ

 

ก่อนจะนำธุรกิจเข้ามาบุกขยายในตลาดเอเชีย พร้อมเปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในปี 2021 โดยรวมแล้วปัจจุบัน Yakiniku Like ประเทศไทยดำเนินธุรกิจมากว่า 4 ปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 21 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และประเทศไทยเป็นตลาดที่ทำรายได้อันดับ 4 ของภูมิภาค

 

ทิพย์สุดา อเนกวัชรากรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด Yakiniku Like Thailand กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ประกอบกับเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วมาก และการที่แบรนด์จะอยู่รอดได้นั้น จะต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเอง และยิ่งในโอกาสครบรอบ 4 ปี แบรนด์จะต้องมีลูกเล่นใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การทานอาหารในร้านให้ดีมากขึ้น

 

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปี Yakiniku Like Thailand ได้จับมือกับ ฟ้าไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องปรุงอาหารมานาน โดยถือเป็นการคอลแล็บกันครั้งแรก เพื่อเปิดตัวซอสปิ้งย่างสูตรใหม่ ‘หม่าล่า’ ที่ถูกพัฒนาโดยทีม R&D จากทั้งสองแบรนด์

 

Yakiniku Like มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถึงแม้กระแสหมาล่าจะดูซาลง แต่มองว่าพฤติกรรมคนไทยกับของเผ็ดยังไปด้วยกันได้ดี ซึ่งจะช่วยทำให้เมนูที่เกี่ยวกับหมาล่ายังได้รับความนิยมและอยู่คู่กับตลาดร้านอาหารไปได้อีกนาน

 

สำหรับทิศทางธุรกิจ Yakiniku Like ประเทศไทย วางแผนในอีก 5 ปี จะขยายให้ครบ 50 สาขา จากที่ปัจจุบันมี 21 สาขา โดยหลักการในการเปิดร้านจะเลือกโลเคชันในศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มีทราฟฟิกสูง ควบคู่กับการเดินหน้าจัดแคมเปญการตลาดมากขึ้น เน้นให้มีความเรียล ลดการพึ่งพา KOL เพื่อให้ลูกค้าที่มาทานสามารถไปบอกกันปากต่อปาก ซึ่งกลยุทธ์ในลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้น

 

“ที่ผ่านมาแบรนด์เคยได้รับฟีดแบ็กเรื่องเมนูน้อยและราคาสูง ในปีนี้จึงมีการปรับเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ ทั้งเมนูหมูและเนื้อ และมีการปรับลดราคาในหมวดเมนูพรีเมียมลงราวๆ 3–4% แต่ยังไม่สามารถปรับลงมากกว่านี้ได้ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและคอสต์ต่างๆ สูงมาก แต่สิ่งที่ร้านยังให้ความสำคัญคือการรักษาคุณภาพของอาหารเอาไว้ให้ได้” ทิพย์สุดา ย้ำ

 

ถึงอย่างไรนั้น การอยู่ในตลาดร้านอาหารไม่เคยง่าย แม้ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะเป็น Red Ocean อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าการมอบประสบการณ์แบบพรีเมียมในราคาที่เอื้อมถึง จะสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ได้ และอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะทำให้แบรนด์อยู่รอดได้ คือการบริหารต้นทุนร่วมกับซัพพลายเออร์

 

และในปี 2026 Yakiniku Like ในหลายๆ ประเทศ จะเปิดตัวเมนูใหม่ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน เพื่อบริหารซัพพลายเออร์ร่วมกันให้ได้ต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์รักษาความสามารถในการแข่งขันได้ต่อเนื่อง

 

จากกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ จะทำให้ภาพรวมของ Yakiniku Like Thailand ในปี 2026 เติบโต 20% หลักๆ มาจากยอดขายของสาขาเดิมและการเปิดสาขาใหม่ ส่วนสิ้นปีนี้ คาดการณ์ว่าจะปิดรายได้อยู่ที่ 700 ล้านบาท โดยสาขาที่ทำรายได้สูงสุด ได้แก่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และเมกาบางนา ซึ่งปัจจุบันค่าใช้จ่ายต่อบิลเฉลี่ยอยู่ที่ 350 บาท

 

โดยฐานลูกค้าปัจจุบัน 50% เป็นลูกค้าที่มากันเป็นกลุ่ม ตามด้วยอีก 30% มากันเป็นคู่ และอีก 20% เป็นลูกค้าที่มาทานคนเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าร้านมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งเป้าผลักดันรายได้ให้แตะ 1,000 ล้านบาท ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising