วันนี้ (18 พฤศจิกายน) เวลา 17.30 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่าได้มีการประเมินคำพูดหรือไม่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ต้องประเมิน เพราะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นคนพูดตรงไปตรงมา จากการพูดคุยนั้นก็มีการพูดแบบเปิดเผย ไม่มีอะไรแอบแฝง และไม่ได้มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่แจ้งว่าสหรัฐต้องการเห็นอะไรอย่างที่ได้พูดกับตน กังวลว่ามีความกังวล เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เนื่องจากถ้ากัมพูชาละเมิด Joint Declaration เพื่อนำไปสู่สันติภาพ ไทยก็จะระงับการดำเนินการ ซึ่งคำว่าระงับไม่ใช่การยกเลิก การเก็บกู้ในการตัดสินใจของไทย และการที่กัมพูชาระบุว่า พร้อมที่จะให้ไทยเข้าไป แต่ตอนนี้ไทยเข้าไปเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามหลักมนุษยธรรม (Humanitarian Demining)
ทั้งนี้ ตรงกับสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการ ดังนั้นถือว่าตรงนี้ก็เคลียร์แล้ว และทางสหรัฐฯ ก็แฮปปี้ ซึ่งสหรัฐฯ จะไปพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาว่าอย่าให้มีการขัดขวาง และให้เร่งกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุด เป็นไปตามที่ตนได้เขียนรายงานต่อผู้นำสหรัฐฯว่า หากเก็บกู้เร็วเท่าไหร่ ตนก็จะให้ทางสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าให้ประเทศไทยเล็กน้อย (I Chopping Few Percentage of Tariff) ซึ่งมองว่าเป็นหยอกหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่การที่คนระดับนี้มาพูดคุยด้วย เราก็ต้องเร่งทำในส่วนของเรา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีได้บอกกับประธานาธิบดีสหรัฐหรือไม่ว่าการเจรจาภาษีกับเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนก็ได้พูดและได้ถามประธานาธิบดีทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เรื่องนี้เป็นเรื่องของสองหน่วยงาน เพราะกระทรวงพาณิชย์ออกหนังสือให้ระงับการเจรจาก่อน และหนังสือนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ขออย่าซีเรียสกับรายละเอียด เรื่องแบบนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา คำพูดนายกฯ ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนนั้นต้องเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศของเรา เรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญ เราต้องทำให้ตรงกับสถานการณ์ให้มากที่สุด ไม่ใช่บอกว่าไปในพื้นที่อันตราย แต่มีทุ่นระเบิด แต่ฝ่ายไทยก็ต้องไปอยู่ดี แบบนี้ไม่ได้ เราก็ต้องทำให้ตรงกับสถานการณ์ให้มากที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นับตั้งแต่ยุติปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ กัมพูชาได้มาติดต่อขอโทษกับเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ อนุทินระบุว่า รัฐบาลได้แจ้งความประสงค์ไปแล้ว ตอนนี้ได้แสดงความเสียใจมาแล้ว เหลือแต่การขอโทษ
ส่วนประเทศไทยยังมีความหวังในการเจรจาภาษีการค้าสหรัฐให้ลดลงจาก 19% หากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นไปตามเป้าใช่หรือไม่ อนุทินระบุว่า “ความเป็นประเทศไทย ตรงไหนที่มีโอกาส เนื่องจากการให้ความร่วมมือตลอดเวลาที่ผ่านมา อย่างกรณีสหรัฐฯ เกิดความเข้าใจผิดกับไทย คิดว่าไทยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลง เดี๋ยวจะกระทบภาษีนะ ในเมื่อมันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่ทำก็ขึ้น ถ้าให้ทำจะลดหรือไม่ล่ะ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของไทยในการเจรจาต่อรอง เขาต่อรองประโยชน์ของเขา เราก็ต่อรองประโยชน์ของเรา ต้องแสวงหาจุดร่วมให้ได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐฯ จะทำอย่างไรนั้น อนุทินระบุว่า สหรัฐฯ เป็นพยาน ไทยเป็นผู้ถูกละเมิดและได้แสดงท่าทีไปแล้วกว่า 11 ข้อ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำ แม้ว่าไทยแสดงท่าทีแล้ว แต่กลับจะระงับการเจรจาภาษี อนุทินกล่าวว่า อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เมื่อชี้แจงก็ไม่มีการระงับแล้ว ซึ่งเราต้องมีหน้าที่ชี้แจง เป็นเรื่องของการสื่อสาร คนนั้นพูดที คนนี้โพสต์ที จะทำให้เกิดความสับสนได้ ดังนั้น สิ่งที่เราได้ทำอยู่ ขอให้ยึดมั่นในประโยชน์ของประเทศไทยให้มากที่สุด ประโยชน์ของประชาชนไทยให้มากที่สุด การเจรจาการค้าทำอย่างไรก็ได้ให้ต้นทุนการดำรงชีวิตของประชาชนไทยน้อยที่สุด การเจรจาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของประชาชนต้องสูงสุด ซึ่งมีหลักของมันอยู่แล้ว
สำหรับการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ผู้แทนการค้าสามารถตัดสินใจเรื่องการระงับการเจรจาได้เลยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่สุดท้ายก็ต้องมีการนำเสนอผู้บริหารของเขา ในส่วนของสหรัฐฯ ก็นำมาเสนอให้ไทย ซึ่งไม่น่ามีประเด็นอะไร เพราะไทยก็มีจุดยืนอยู่แล้วว่าเราจะยืนอยู่ตรงไหน
เมื่อถามว่า หากกัมพูชายังคงแสดงความเป็นปรปักษ์อยู่ ไทยยินยอมจะจับมือด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองทัพบอกแล้วว่าเรื่องการสัมผัสมือเป็นมารยาท เหมือนที่ตนเจอฝ่ายค้านก็ยิ้มและยกมือไหว้ทุกคน เพราะเป็นเรื่องมารยาท แต่หลักการก็มีกลับมาดำเนินการตามปฏิญญาได้ ก็ต่อเมื่อความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รัฐบาลต้องเป็นไปตามนั้น จะเห็นเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้


