×

‘สิงโตคำราม’ ยุคทูเคิล ถ้าฝันถึงแชมป์โลกจะผิดไหม?

18.11.2025
  • LOADING...

8 นัดชนะรวด ยิงได้ 22 ประตู ไม่เสียแม้แต่ลูกเดียว

 

นี่คือผลงานที่ยอดเยี่ยมของทีม ‘สิงโตคำราม’ อังกฤษ ในยุคที่หันกลับมาใช้กุนซือต่างชาติอย่าง โธมัส ทูเคิล เป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง และสามารถผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้อย่างสวยงามไม่น้อย (โดยที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2026 ได้เป็นชาติแรกของยุโรปด้วย)

 

อย่างไรก็ดี ผลงานในรอบคัดเลือกไม่ได้เป็นเครื่องการันตีได้ทุกอย่างบนโลก และนั่นทำให้ยังคงมีคำถามสำหรับทีมชาติอังกฤษอยู่เหมือนเดิม

 

วันนี้พวกเขาดีพอที่จะมีสิทธิ์ฝันถึงการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกในรอบ 60 ปีหรือยัง?

 

“ผมภูมิใจที่ได้เกียรติให้เป็นผู้นำของทีมชาติอังกฤษ”

 

โธมัส ทูเคิล กล่าวหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2024 หรือเมื่อ 1 ปีเศษที่ผ่านมา ในสัญญาระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งทำให้กลายเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่เป็นชาวต่างชาติต่อจาก สเวน-โกรัน เอริคส์สัน ผู้ล่วงลับ และฟาบิโอ คาเปลโล

 

อย่างไรก็ดี อดีตนายใหญ่ของเชลซี เพิ่งเข้ามารับงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2025 โดยที่ต้องเผชิญกับกระแสดราม่าเล็กๆ น้อยๆ เป็นระยะ

 

แต่ความกดดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการสานงานต่อจากเซอร์ แกเร็ธ เซาธ์เกต อดีตผู้จัดการทีมที่ตัดสินใจวางมือหลังจากที่ทำความหวังของคนอังกฤษไม่เป็นจริงเมื่อพ่ายแพ้ต่อทีมชาติสเปนในนัดชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลยูโร 2024 

 

การพ่ายแพ้ครั้งนั้นถือเป็นการอกหัก 2 ครั้งติดต่อกันในนัดชิงฟุตบอลยูโร หลังเคยเข้าชิงในปี 2020 (แต่ลงแข่งในปี 2021 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19) ที่สนามเวมบลีย์ แต่ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่ออิตาลี ในช่วงการดวลจุดโทษ

 

ความเป็นชาวต่างชาติ และเป็นชาวต่างชาติที่ค่อนข้างอินดี้ของทูเคิลทำให้การทำงานไม่ถึงกับราบรื่นนัก แต่สุดท้ายก็ใช้ผลงานแทนคำตอบด้วยการเก็บชัยชนะรวดในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกทั้ง 8 นัด โดยไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว

 

เป็นสถิติที่ไม่เคยมีชาติใดในยุโรป (ที่ลงแข่งในรอบคัดเลือกมากกว่า 6 นัด) ทำได้มาก่อน

 

แต่เรายึดมันเป็นสรณะได้ไหม?

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

รอบคัดเลือกโหมด Easy

 

หนึ่งในสิ่งที่มีการพูดถึงกันมากคืออังกฤษ เจอกับรอบคัดเลือกที่ค่อนข้างง่ายในฟุตบอลโลกหนนี้ เรียกว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดูง่ายและทางสะดวกที่สุด

 

แอลเบเนีย, เซอร์เบีย, แลตเวีย และอันดอร์รา คือคู่แข่งของพวกเขา ซึ่งมองมุมไหนทีมเหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของทีมที่มีลีกฟุตบอลใหญ่ รวย และแกร่งที่สุดในโลกในเวลานี้อย่างพรีเมียร์ลีก

 

เหมือนเล่นเกมในโหมด Easy ประมาณนั้น

 

และมันก็พอจะบอกได้ว่าเป็นความจริงอยู่บ้าง เพราะตลอด 8 นัดพวกเขาแทบไม่เจอความยากลำบากใดๆ เลยแม้แต่นัดเดียว แม้ว่าจะมีสกอร์และเกมที่ไม่ดีบ้าง (เช่น บุกไปเฉือนอันดอร์รา 1-0) แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระคายเคืองอะไร

 

โดยเฉพาะในช่วงท้ายของรอบคัดเลือก มีเกมที่อังกฤษถล่มคู่แข่งขาดลอยถึง 5-0 ได้ 2 นัดติดต่อกันด้วยการบุกถล่มเซอร์เบีย และแลตเวียในสกอร์เดียวกัน

 

มันเป็นคนละฟีลที่แตกต่างจากในปี 1989 ที่เทอร์รี บุตเชอร์ หัวแตกต้องโพกศีรษะลงสนามแบบเลือดอาบกายเพื่อสู้ให้อังกฤษได้ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกที่อิตาลี และต่างจากปี 2001 ที่ได้ลูกฟรีคิกมหัศจรรย์ของเดวิด เบ็คแฮม ทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปฟุตบอลโลก 2002

 

แต่อย่างน้อยก็เข้ารอบ และชนะรวด ซึ่งก็ต้องให้เครดิตกับทูเคิลและทีมของเขาด้วย

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

Core แข็ง

 

หนึ่งในประเด็นที่มีการพูดถึงกันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกำลัง Transform ทีมชาติอังกฤษให้กลายเป็นทีมระดับมหาอำนาจของจริง

 

เรื่องนี้ถ้ามองไปที่ผู้เล่นในทีมชุดปัจจุบันก็ไม่ได้เกินเลยจากความจริงมากนัก

 

แดนหน้าแฮร์รี เคน แม้วัยจะเพิ่มขึ้นแต่ฝีเท้าของเขาอมตะเหมือนเดิม ยิ่งแก่ก็ยิ่งเก่ง เป็นศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้โดยที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่การทำประตูด้วย แต่ทำทุกอย่างเพื่อทีม

 

มองไปอีกก็จะเห็นนักเตะอย่าง เดแคลน ไรซ์ ห้องเครื่องระดับ 16 สูบ ที่อยู่ทุกที่ในสนาม เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้ โดยที่ยังมี เอลเลียต แอนเดอร์สัน และอดัม วอร์ตัน สองกองกลางดาวรุ่งที่โดดเด่นเป็นกำลังเสริม 

 

ที่ริมเส้นพวกเขามี บูกาโย ซากา หนึ่งในปีกขวาที่เก่งและทรงประสิทธิภาพที่สุดของโลกอยู่ ไม่นับนักเตะปริญญาใจ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่กลับมาเรียกฟอร์มเก่งได้อีกครั้งในฤดูกาลนี้ รวมถึงเอเรเบชี เอเซ ผู้อยู่ได้ทุกที่ในสนาม, ฟิล โฟเดน ตัวทำเกมพรสวรรค์ และแอนโธนี กอร์ดอน ตัวริมเส้นสุดอันตราย

 

แม้กระทั่งซูเปอร์สตาร์ในระดับ Worldwide อย่างจู๊ด เบลลิงแฮม ที่เริ่มเติบโตขึ้น ยังมีสถานะเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเท่านั้นรองจากมอร์แกน โรเจอร์ส ตัวทำเกมจากแอสตัน วิลลา ที่กลายเป็นคีย์แมน

 

และอย่าลืมว่ายังมี โคล พาลเมอร์ ที่บาดเจ็บหายหน้าไปในช่วงนี้ด้วยอีกคน

 

แบบนี้น่าจะพอจะบอกได้ว่า Core ของอังกฤษชุดนี้ แข็งจริง

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

สมดุลสำคัญกว่าสตาร์

 

แต่มากกว่านักเตะที่เก่งกาจล้นทีม สิ่งที่ทูเคิลพยายามบอกว่าเขาให้ความสำคัญมากกว่าการจัดตัวแบบเอาใจสตาร์คือการพยายามจัดทีมที่เน้นความสมดุลมากกว่า

 

ถึงขั้นเคยพูดว่าแฮร์รี เคน, จู๊ด เบลลิงแฮม และฟิล โฟเดน เป็น 3 นักเตะที่ไม่สามารถให้ลงเล่นตัวจริงด้วยกันได้ทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงสมดุลของทีมที่จะเสียไปทันที

 

“ถ้าภายใต้โครงสร้างนี้ พวกเขาจะลงพร้อมกันหมดไม่ได้” ทูเคิลตอบคำถามในรายการ talkSPORT ที่อยากรู้ถึงแนวทางของอังกฤษ “จริงๆพวกเขาก็จัดลงเล่นด้วยกันได้ แต่ไม่ใช่ในโครงสร้างทีมแบบนี้ ไม่ใช่ในความสมดุลที่เราพยายามสร้างโดยมีปีกที่เป็นผู้เล่นชำนาญพิเศษในตำแหน่งของพวกเขา”

 

คำตอบนี้เป็นประเด็นคุยกันสนุกอยู่พอสมควรว่าการออกมาพูดแบบนี้ถูกตามนี้หรือไม่

 

แต่อย่างน้อยสำหรับหลายคนที่เคยเห็นอังกฤษ ผิดหวังกับการพยายามจัดสตาร์ลงแน่นๆ โดยเฉพาะในยุค Golden Generation ที่มีพอล สโคลส์, แฟรงค์ แลมพาร์ด และสตีเวน เจอร์ราร์ด อยู่ด้วยกันในสนามและล้มเหลวมาแล้ว

 

การเลือก ‘ทีม’ มาก่อน ‘คน’ ของทูเคิล น่าจะเป็นแนวทางที่ดี

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

หมายเลข 10 ของอังกฤษ

 

หนึ่งในไฮไลต์ของอังกฤษในยุคทูเคิล คือการชิงตำแหน่งตัวทำเกม ‘หมายเลข 10’ กันระหว่างจู๊ด เบลลิงแฮม กับมอร์แกน โรเจอร์ส

 

สองนักเตะที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก

 

อาจจะดูเป็นการคิดมากไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ดูเหมือนบอสใหญ่ชาวเยอรมันพยายามสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองแข่งขันกันอย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของอังกฤษ เพราะก่อนหน้านี้ตำแหน่งนี้เป็นของเบลลิงแฮมคนเดียวโดยแทบไม่เจอคู่แข่ง

 

แต่การปรากฏตัวของโรเจอร์สที่ทำผลงานได้ดีเมื่อได้โอกาสลงสนาม ทำให้เบลลิงแฮม ที่มีช่วงบาดเจ็บไหล่ต้องพักการเล่นยาวเริ่มตกที่นั่งลำบาก การจะช่วงชิงตำแหน่งกลับคืนมาไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายอีกต่อไป

 

อย่างไรก็ดีถึงเพลย์เมกเกอร์วิลลาจะได้โอกาสลงเล่นเต็มที่ และแสดงให้เห็นถึงความเป็น Team player ของเขาที่ทำได้ดีมากๆ แต่เบลลิงแฮมก็เริ่มแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีความพิเศษมากกว่า เกิดมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในเกมได้มากกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นในเกมที่พบกับเซอร์เบีย และล่าสุดในเกมกับแอลเบเนีย ที่ได้โอกาสกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง

 

ถึงจะมีการจับตามองปฏิกิริยาหลังโดนเปลี่ยนตัวออกของเบลลิงแฮมว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก 

        

แต่คนที่ยิ้มลึกๆ อยู่ในใจคือทูเคิล ที่รู้ว่าการทดลองของเขาประสบความสำเร็จ

 

ไม่ใช่ได้คำตอบแค่หนึ่ง แต่ได้ถึงสองคำตอบ

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

อังกฤษเก่งขึ้นจริงไหม?

 

คำถามนี้ถือว่าเป็นคำถามที่ชวนคุยกันได้สนุก

 

เพราะหากยึดผลงานในทัวร์นาเมนต์เป็นหลัก อังกฤษในยุคของเซาธ์เกตเองก็ถือว่าเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดี เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2 สมัยติดต่อกัน ขณะที่ในฟุตบอลโลกเองก็เข้าถึงรอบรองชนะเลิศในปี 2018 และรอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 2022

 

เพียงแต่ในเรื่องของรูปเกมในสนาม สไตล์การเล่น และแท็กติก เป็นสิ่งที่ ‘ทรีไลออนส์’ ในยุคเซาธ์เกตถูกตั้งคำถามค่อนข้างมาก ว่าเล่นแบบ ‘รัดกุม’ เกินไปหรือไม่?

 

จุดนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ค่อนข้างแตกต่างจากอังกฤษในยุคปัจจุบันของทูเคิล ที่ชวนให้รู้สึกว่ามีการ ‘ปล่อยเบรกมือ’ ทำให้ทีมเดินหน้าใส่คู่แข่งด้วยเกมเพรสซิงที่ดุดันขึ้น มีการเล่นในแบบกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้ติดประมาทในเกมรับ

 

ความสนุกอีกอย่างคือความพยายามของกุนซือชาวเยอรมันวัย 52 ปีที่พยายาม ‘ทดลอง’ นั่นนี่ไปเรื่อยในเกมจริง

 

มีการวิเคราะห์แพตเทิร์นการขึ้นเกมรุกของอังกฤษในยุคของเขาว่ามีอย่างน้อย 3 รูปแบบที่แตกต่างคือ 3-2-5, 2-3-5 ไปจนถึง 2-1-7 โดยแต่ละแบบก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่นับการพยายามให้โอกาสนักฟุตบอลมากมายได้โอกาสในการลงสนาม เพื่อค้นหาคำตอบใหม่ๆผ่านการทดลองที่ไม่ซ้ำเดิม

 

ดังนั้นตอบคำถามข้างบนสุดว่าอังกฤษเก่งขึ้นจริงไหมนั้น ในเชิงของผลงานรอบคัดเลือก ต่อให้จะไม่ได้เป็นไม้บรรทัดที่ดีนักแต่ก็พอจะบอกอะไรได้ด้วยตัวเองอยู่บ้าง

 

โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

 

It’s Coming Home?

 

คำถามสุดท้ายสำหรับทีมชาติอังกฤษในยุคของทูเคิลที่หลายคนอยากรู้

 

พวกเขามีสิทธิ์จะฝันถึงแชมป์โลกไหม?

 

ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ใครก็มีสิทธิ์จะฝันได้ถูกไหม? แต่ในความเป็นจริงอังกฤษของทูเคิลเองแม้จะทำผลงานได้ดีในรอบคัดเลือกแค่ไหน แต่มันยังมีจุดที่ต้องขัดเกลากันอีก มีสิ่งที่ต้องพยายามหาคำตอบ มีความสมดุลที่ต้องรักษา และต่อยอดในเรื่องของแท็คติกการเล่น

 

เมื่อมองไปยังคู่แข่ง

 

อาร์เจนตินา แชมป์โลกในเวลานี้ยังแกร่ง

 

ฝรั่งเศส อยากจะเข้าชิง 3 สมัยติดต่อกัน

 

สเปน เหนือชั้นในแทบทุกตำแหน่ง

 

ยังไม่รู้สึกว่าอังกฤษอยู่ในระดับเดียวกัน แม้จะไม่ได้ห่างกันมาก มันมีบางอย่างของ ‘ระดับชั้น’ ที่ต้องพยายามพิสูจน์และก้าวผ่านไปให้ได้ก่อน ซึ่งในบางครั้งมันเป็นเรื่องที่ต้องพยายามค้นหาเส้นทางกันในสนามแข่งจริงอย่างฟุตบอลโลกเลย

 

ระหว่างนี้ไปจนถึงตอนนั้น เป็นหน้าที่ของกุนซือชาวเยอรมันที่ต้องพยายามทำให้อังกฤษของเขาดูดีและลงตัวมากที่สุด

 

เพียงแต่ถ้าถามว่าอังกฤษชุดนี้ดูมีความหวังจริงจังมากกว่าที่ผ่านมาไหม?

 

ก็อาจจะใช่นะ

 

อ้างอิง

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising