×

เอกนิติ ยกโมเดลใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ใน 4 เดือน ย้ำไม่กู้เงินเพิ่ม เน้นรักษาวินัยการคลัง

17.11.2025
  • LOADING...
เอกนิติ ยกโมเดลใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ใน 4 เดือน ย้ำไม่กู้เงินเพิ่ม เน้นรักษาวินัยการคลัง

ดร.เอกนิติ รมว.คลัง ยกโมเดลใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใน 4 เดือน ย้ำไม่กู้เงินเพิ่ม เน้นรักษาวินัยการคลัง เสริมการลงทุนผ่านเครื่องมือ Thailand Future Fund และ BOI Fast Pass สร้างทักษะแรงงานด้วย Demand Driven เตรียมปล่อยแพ็กเกจ ยกระดับ SME

 

วันนี้ (17 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘รัฐบาลกับการขับเคลื่อนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย’ ในงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ภายใต้หัวข้อ ‘Reimagining Thailand’s Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ’

 

โดยกล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ดร.เอกนิติ พยายามหาคำตอบมาตลอดว่า ประเทศไทยจะสามารถหาโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศได้อย่างไร ท่ามกลางอุปสรรคนานาประการตั้งแต่ ปัญหาสังคมสูงวัย ตลอดจนแรงงานขาดแคลน

 

2 ข้อจำกัดใหญ่ ฐานะการคลังและเวลามีน้อย

 

ดร.เอกนิติ ชี้ว่าปัญหาของประเทศไทยในทุกวันนี้ ยากกว่าในอดีตอย่างมาก เพราะ พลังของภาครัฐอย่าง ‘ฐานะการคลัง’ มีน้อยลง สะท้อนได้จากการถูกสถาบันจัดอันดับเครดิต (Credit Rating Agencies) ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งปรับลดมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทยลงในช่วงที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ดี S&P Global Ratings เพิ่งประกาศคงมุมมองเครดิตไทยไว้ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) ซึ่งเอกนิติมองว่าเป็นผลจาก ‘การส่งสัญญาณวินัยการคลังอย่างชัดเจน’ นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เช่น การนำเงินที่เหลือส่งคืน ธ.ก.ส.ทันทีเพื่อไม่เพิ่มภาระค้างคา

 

นอกจากพลังการคลังที่ลดน้อยลงแล้ว ดร.เอกนิติย้ำว่า รัฐบาลยังมีเวลาเพียง 4 เดือนซึ่งเป็นข้อจำกัดให้ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ หากมัวแต่คิดหาโมเดลใหม่คงไม่ทัน เลยต้อง Action เพื่อส่งสัญญาณให้เห็น

 

โดยกล่าวว่า “ผมทำเต็มที่ตั้งแต่วันที่รับตำแหน่ง เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลใหม่จะรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด”

 

คุมวินัยการเงินเข้มผ่าน แผนการคลังระยะปานกลาง

 

ทั้งนี้ เพื่อควบคุมวินัยการเงินให้เข้มงวดขึ้น ดร.เอกนิติ จึงได้จัดทำ แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) ฉบับใหม่ โดยมีการกำหนดกฎการคลัง (Fiscal Rule) ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะเข้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 18 พฤศจิกายน ตัวอย่างเช่น

 

  • ควบคุมการใช้มาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยให้ต้องขออนุมัติอย่างโปร่งใส ไม่ใช่การตีเช็กเปล่า (Blank Check)
  • ตั้งเป้าลดระดับขาดดุลเหลือ 3% ของ GDP
  • กำหนดกรอบชำระคืนหนี้ไม่น้อยกว่า 4%
  • ห้ามตั้งงบไม่พอ แล้วไปแตะเงินคงคลัง
  • ทำกรอบ ‘งบกลาง’ ให้แคบลงกว่าระบบเดิม จากที่ตั้งได้ไม่เกิน 3%

 

“วันนี้ขาดดุล 4.4% ผมรับไม่ได้ เราจะต้องทำยังไงให้ลงมา 3% ให้ได้ เราจะทำหลายเรื่อง กฎการคลังจะเข้มงวดขึ้น” ดร.เอกนิติ กล่าว

 

ลงทุนผ่านเครื่องมือใหม่ ไม่ใช้เงินกู้

 

ด้วยข้อจำกัดงบประมาณที่เข้มงวดมากขึ้น ดร.เอกนิติ ชี้ว่าการลงทุนใหม่ต่อจากนี้ จะแนะนำให้รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานราชการเลือกใช้เครื่องมือการคลัง เช่น Thailand Future Fund และ Public Private Partnership แทนการกู้เงิน ยกตัวอย่างเช่น โครงการลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ ฟาร์ม (Solar Farm) หรือ โซลาร์ ลอยน้ำ (Solar Floating)

 

“ด้วยเวลาที่จำกัด รัฐบาลจะเน้นไปที่การลงทุนที่ Hard Infrastructure ซึ่งหมายถึงภาคอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะพลังงานสะอาด และจะเป็นการลงทุนที่ไม่ใช้เงินกู้ แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินอย่าง Thailand Future Fund และ Fast Pass”

 

ขณะที่ การลงทุนในเรื่อง Soft Infrastructure อย่างเรื่องการพัฒนาทักษะแรงงาน หรือ SME Business Transformation ดร.เอกนิติระบุว่า จะยึดภายใต้หลัก Incentive และ Demand Driven ซึ่งระหว่างนี้กำลังพิจารณาแพ็กเกจร่วมกับ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า โดยเชื่อว่าจะสามารถเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ได้ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า

 

“ทุกอย่างจะทำบนวินัยการคลัง หลายโครงการเริ่มไปแล้ว” ดร.เอกนิติกล่าว

 

BOI Fast Pass ปลดล็อกการลงทุน 4.7 แสนล้านบาท

 

ดร.เอกนิติระบุว่า ‘การลงทุน’ คือจุดชี้เป็นชี้ตายของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งไทยต้องเร่งทั้ง Soft Infrastructure ในเรื่องพัฒนาทักษะแรงงาน และ Hard Infrastructure ในด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่นักลงทุนต่างชาติสนใจ เช่น Food Processing, Robotics, EV และ Data Center

 

อย่างไรก็ดี โครงการที่ยื่นขอส่งเสริมจาก BOI ยังค้างพิจารณาอยู่มากถึง 4.7 แสนล้านบาท คิดเป็นโครงการขนาดใหญ่กว่า 1,000 ล้านบาท เพียง 74 โครงการ และส่วนใหญ่ติดปัญหาเดิม ๆ แค่ 3 คอขวดหลัก ได้แก่ ขั้นตอนการอนุมัติด้านสาธารณูปโภคที่ต้องขอใบอนุญาตซ้ำซ้อนหลายหน่วยงาน ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) และการจัดหาที่ดินสำหรับลงทุน

 

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจัดทีมเฉพาะกิจแบบ PPP Fast Track เพื่อ ‘ไล่ปลดล็อกทีละเคส’ ภายในเวลาจำกัด 4 เดือน พร้อมออกเครื่องมือใหม่ในชื่อ BOI Fast Pass โดยใช้ ‘Journey ของภาคเอกชน’ เป็นตัวตั้ง เพื่อดูว่าติดปัญหาในขั้นตอนใด และให้เจ้าภาพแก้ทันทีโดยไม่ปล่อยให้ระบบวนซ้ำ

 

ในระยะยาว รัฐบาลจะนำเคสจริงจาก BOI Fast Pass ไปเสนอ ศจ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับกฎกระทรวงและระเบียบราชการ (กิโยตินกฎหมาย) โดยมีเป้าหมายคือปลดล็อกโครงการค้างกว่า 4.7 แสนล้านบาท ในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เดินหน้าได้ตั้งแต่ปีหน้า โดยที่ไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณไหนเลย

 

เร่งยกระดับแรงงานระดับกลางด้วยโมเดล Demand Driven

 

นอกจากเร่งการลงทุนแล้ว ดร.เอกนิติยังกล่าวอีกว่า ไทยยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนย้ายไปลงทุนที่เวียดนามแทน

 

ด้วยอุปสรรคประการนี้ ดร.เอกนิติ จึงร่วมกับ BOI เปลี่ยนวิธี Reskill/Upskill จากระบบฝั่งอุปทานเดิม ไปสู่โมเดล Demand Driven โดยให้ผู้ลงทุนสะท้อน (Feed Back) ตรงว่าขาดทักษะแบบไหน แล้วรัฐจึงออกแบบมาตรฐานการเรียนรู้ตามความต้องการจริง

 

ทั้งผ่าน Short Course, Digital และ AI Training โดยมีเป้าหมาย 4 เดือนอบรมแรงงานให้ได้ 100,000 คน ผ่านการใช้งบจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันราว 10,000 ล้านบาท

 

ตัวอย่าง แรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ ก็จะถูกยกระดับทักษะเฉพาะทางให้ผลิตชิ้นส่วนใหม่อย่าง Reduction Gear เพื่อให้ไทยคงความได้เปรียบในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ต่อไป

 

เตรียมปล่อยแพ็กเกจ ยกระดับ SME ต่อยอดธุรกิจเข้าซัพพลายเชน

 

สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME ดร.เอกนิติระบุว่าจะมีแพ็กเกจสนับสนุนใหม่ ได้แก่

 

1. Business Transformation Loan

 

เป็นสินเชื่อรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจโดยเฉพาะ ไม่ใช่สินเชื่อทั่วไป มีเป้าหมายเพื่อช่วย SME ที่สามารถเข้าสู่ซัพพลายเชนและมีออร์เดอร์แน่นอนให้เข้าถึงเงินทุนง่ายขึ้น ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและสมาคมธนาคารไทย โดยดร.เอกนิติระบุว่า เมื่อธนาคารเห็นคำสั่งซื้อที่ชัดเจนก็จะ ‘กล้าปล่อย’ สินเชื่อมากขึ้น โดยยึดหลักแรงจูงใจและโมเดล Demand Driven ให้เอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนการปล่อยกู้จริง

 

2. Grant Reform

 

ดร.เอกนิติ ระบุว่า เพื่อแก้ปัญหาภาคธุรกิจหลายราย ไม่สามารถพัฒนาปรับปรุงเครื่องจักรในโรงงานให้เห็น Automation ได้ เนื่องจาก ระบบเก่ากำหนดให้ SME ต้องลงทุนเสร็จก่อนแล้วค่อยเบิก

 

ทางรัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการมอบเงินสนับสนุน (Grant) ซึ่งนำเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมีอยู่เดิมมาปฏิรูป และดึงสมาคมธนาคารไทยมาร่วม ‘Match’ กับ SME เพื่อให้เข้าถึง Bridging Loan ได้ทันที

 

ด้วยประการนี้ ธนาคารจะกล้าปล่อยเงินให้ SME ไปลงทุนด้าน Automation หรือเครื่องจักรก่อน

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติกล่าวว่าจะนำระบบดิจิทัล PromptBiz ซึ่งถูกวางรากฐานไว้แล้วกลับมาใช้งานเต็มรูปแบบ โดยเปิดให้ SME และคู่ค้านำ Purchase Order มาวางในระบบ เพื่อให้ธนาคารและแพลตฟอร์มสามารถเข้ามาดูข้อมูลและร่วมกันปล่อยสินเชื่อแบบ Supply Chain Financing ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นการใช้ข้อมูลจริงในระบบซัพพลายเชนเป็นหลักประกันสำคัญ

 

ทั้งนี้ PromptBiz คือ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินกลางสำหรับผู้ประกอบการ SME เพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงินของธุรกิจ ในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถข้ามธนาคารได้อย่างครบวงจร ซึ่งมีบริการด้านการค้าและการชำระเงิน เช่น รับ-ส่ง เอกสารทางการค้า (e-invoice, e-tax invoice, e-receipt) และการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลระหว่างบริษัทและคู่ค้าของบริษัท โดยรองรับลูกค้าภาคธุรกิจในระยะแรก รวมไปถึงบริการด้านสินเชื่อ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising