×

จีนสั่งคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทางสหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check

17.11.2025
  • LOADING...
จีนสั่งคุมเข้ม อินฟลูเอนเซอร์ ห้ามพูดเรื่องการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หากไม่มีใบปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพมายืนยัน สวนทาง สหรัฐฯ ที่ ‘ทรัมป์’ หนุน-Meta เลิก Fact-Check

The Economic Times รายงานว่า รัฐบาลจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการอินฟลูเอนเซอร์ โดยกำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องแสดงหลักฐานคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง หากต้องการพูดคุยในหัวข้อที่ ‘จริงจัง’ (Serious) เช่น การเงิน, สุขภาพ, การแพทย์, กฎหมาย หรือการศึกษา

 

Social Media Today ชี้ว่า แม้กฎนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติสำหรับผู้แพร่ภาพออนไลน์ (Conduct for Online Broadcasters) มาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนเพิ่งจะเริ่มนำมาบังคับใช้อย่างจริงจังมากขึ้นในขณะนี้

 

กฎระเบียบใหม่นี้ กำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องมีปริญญาหรือใบอนุญาตวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเผยแพร่เนื้อหา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดข้อมูลที่ผิดๆ จากผู้มีอิทธิพลที่ขาดความรู้จริง และอาจต้องเผชิญกับโทษปรับสูงถึง 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.5 แสนบาท) หากมีการละเมิดกฎหมาย

 

โดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) ได้ออกมาปกป้องกฎหมายนี้ว่าถูกนำมาใช้เพื่อ ‘ปกป้องประชาชนจากเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิดและคำแนะนำที่เป็นอันตราย’ บนโลกออนไลน์

 

นอกจากการกำหนดคุณสมบัติของผู้พูดแล้ว CAC ยังได้สั่งห้ามการโฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์, อาหารเสริม และอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อป้องกันการ ‘โฆษณาแฝง’ ที่มาในรูปแบบของการให้ความรู้ และยังกำหนดให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องระบุอย่างชัดเจนหากเนื้อหาส่วนใดสร้างขึ้นโดย AI หรือมีการอ้างอิงมาจากงานวิจัย

 

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน), Weibo และ Bilibili จะต้องมีหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สร้างคอนเทนต์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมอินฟลูเอนเซอร์ของจีน และได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์

 

ผู้ใช้งานจำนวนมากต่างแสดงความยินดีกับกฎหมายใหม่นี้ โดยผู้ใช้ Weibo รายหนึ่งแสดงความเห็นว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจะได้เป็นผู้นำในการสนทนา” แต่ในทางกลับกัน หลายฝ่ายก็แสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้จะเป็นการจำกัด ‘เสรีภาพในการพูด’ และทำลายความคิดสร้างสรรค์ “อีกหน่อยเราคงต้องมีใบอนุญาตเพื่อแสดงความคิดเห็น” ผู้สร้างคอนเทนต์ในปักกิ่งคนหนึ่งกล่าว

 

Social Media Today ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดในการควบคุมอินฟลูเอนเซอร์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเกาหลีใต้ที่กำลังพิจารณาออกกฎหมายในลักษณะคล้ายกัน โดยมุ่งเป้าไปที่การจำกัดชาวต่างชาติที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบหรือสร้างความเกลียดชังต่อประเทศ

 

The Korea Times รายงานว่า รัฐมนตรียุติธรรมของเกาหลีใต้ จองซองโฮ (Jung Sung-ho) ได้กล่าวว่า รัฐบาลกำลังทบทวนมาตรการที่จะจำกัดการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบหรือสร้างความเกลียดชังต่อเกาหลีใต้จากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกว่าเนื้อหาของพวกเขาอาจส่งผลกระทบมากกว่าแค่กระแสต่อต้านในโซเชียลมีเดีย

 

การพิจารณากฎหมายนี้เป็นผลมาจากกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นล่าสุดหลายครั้ง กรณีแรกคือ จอห์นนี่ โซมาลี (Johnny Somali) สตรีมเมอร์ชาวอเมริกันที่ถูกดำเนินคดีเมื่อปีที่แล้ว หลังจากเผยแพร่คลิปที่เขาสร้างความวุ่นวายในร้านสะดวกซื้อ อีกกรณีคือ เดโบะจัง (Debo-chan) ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีที่อาศัยในญี่ปุ่น ซึ่งกำลังถูกสอบสวนจากคลิปไวรัลที่อ้างข้อมูลเท็จว่ามีการค้นพบ ‘ศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หลายสิบศพ’ ในเกาหลีใต้

 

การเคลื่อนไหวของประเทศในเอเชียเหล่านี้ช่างดู ‘แตกต่าง’ อย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับแนวทางในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเผชิญกับความแตกแยกทางสังคมและการเมืองที่รุนแรงอันเป็นผลมาจากข้อมูลบิดเบือน แต่กลับดูเหมือนว่าจะยิ่งส่งเสริมให้อินฟลูเอนเซอร์มีตัวตนและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

 

ตัวอย่างเช่น Meta ได้ประกาศยุติโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยบุคคลที่สาม และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านเนื้อหา หลังจากถูกกดดันทางการเมืองจากรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องการให้มีการควบคุมเนื้อหาน้อยลง

 

ในขณะที่สื่อกระแสหลักถูกทรัมป์โจมตีอย่างต่อเนื่องว่านำเสนอข้อมูลเท็จ เขากลับเลือกที่จะยกระดับความน่าเชื่อถือให้กับเหล่าพอดแคสเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยกระจายข่าวสารของเขา ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่ก็ทำให้ชาวอเมริกันมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของทฤษฎีสมคบคิดและการโฆษณาชวนเชื่อได้ง่ายขึ้น

 

ประเด็นนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า การเปิดให้ใครก็ได้พูดในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้โดยปราศจากความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แม้ว่าเสรีภาพของสื่อจะเป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเห็นที่ขาดความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่ซับซ้อนก็กำลังสร้าง ‘ความเสียหาย’ และความแตกแยกทางสังคมอย่างเห็นได้ชัด

 

ในโลกที่ทุกอย่างถูกย่อยให้เหลือเพียงมีมสั้นๆ ช่องว่างทางความรู้นี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของสื่อยุคใหม่ที่มักจะจุดประเด็นดราม่าเพื่อกระตุ้นอารมณ์และเรียกยอดการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นแนวทางที่สื่อตะวันตกกำลังส่งเสริม ในขณะที่สื่อในฝั่งเอเชียกำลังพยายามหาทางควบคุม
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 32.44 บาท ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568

 

ภาพ: amenic181/Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising