วันนี้ (11 พฤศจิกายน) นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ใน 3 ประเด็น ได้แก่
1.ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด
2.ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
3.การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ
ประเด็นที่ 1 : เกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ วานนี้ (10 พฤศจิกายน) ทางกองทัพบกได้ออกมายืนยันแล้วว่า มาจากการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งทำให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บรวม 4 นาย และ 1 ใน 4 นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าข้างขวาขาด ซึ่งกองทัพบกชี้แจงว่า พื้นที่ลาดตระเวนดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่เคยทำการลาดตระเวนมาก่อนหน้านี้แล้ว
จากการเข้าไปพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุภายหลัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ได้ตรวจพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ภายในหลุมระเบิดและพื้นที่ใกล้เคียง และยังตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีกจำนวน 3 ทุ่น ในบริเวณรอบ ๆ หลุมระเบิด
ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า พื้นที่เกิดเหตุ เคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่า มีการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทยโดยฝ่ายกัมพูชา
ประเด็นที่ 2 : เกี่ยวกับผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เริ่มต้นกล่าว ด้วยการย้ำว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับ Joint Declaration หรือถ้อยแถลงฯ ร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพราะเป็นเอกสารที่ฝ่ายไทยย้ำมาตลอด ว่าเป็นแนวทางที่จะนำสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความจริงใจและความสุจริตใจของทั้ง 2 ฝ่ายในการปฏิบัติตาม
ขณะที่ผลการประชุม สมช. ที่มีนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานการประชุม ได้มีการลงความเห็นว่า ที่ผ่านมาไทยได้ยึดมั่นและมุ่งมั่นปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมฯ มาโดยตลอด และการดำเนินการก็มีความคืบหน้าในหลายเรื่อง
แต่เป็นที่น่าผิดหวัง ที่ล่าสุดฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ โดยลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตไทย
ฝ่ายไทยถือว่า การกระทำนี้เป็นการ ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ และยังเป็นการ ละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา ที่กัมพูชาเองก็เป็นรัฐภาคี ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการลดระดับความขัดแย้ง
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ ซึ่งรวมถึงการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ฝ่ายไทยกำลังควบคุมอยู่ 18 คน ออกไปก่อน จนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความรับผิดชอบและให้ความมั่นใจได้ว่าจะดำเนินการต่างๆ ตามถ้อยแถลงร่วมฯ โดยเฉพาะในเรื่องของทุ่นระเบิด ด้วยความจริงใจและด้วยความสุจริตใจ
ในการนี้ ฝ่ายไทยจึงเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการ 3 เรื่อง คือ
1.แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้
2.ดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าว
3.ดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต
ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT (ASEAN Observer Team) รับรู้และเข้าไปตรวจสอบด้วย โดยฝ่ายไทยจะติดตามเพื่อประเมินท่าทีการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ก่อนที่จะพิจารณามาตรการอื่นๆ ของฝ่ายไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
ส่วนการดำเนินการอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย และสามารถดำเนินการได้โดยฝ่ายไทยฝ่ายเดียว ก็จะยังคงดำเนินการต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการ เก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และการ ปราบปรามออนไลน์สแกม
ประเด็นที่ 3 : เกี่ยวกับการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ ทางด้าน สีหศักดิ์ พวงเกตแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ติดต่อ ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อทำการประท้วงในเบื้องต้นไปแล้ว 2 ครั้ง ด้วยกัน คือวานนี้ และช่วงเช้าวันนี้อีกรอบหนึ่ง
และกระทรวงการต่างประเทศกำลังจะยื่นหนังสือประท้วง ฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ ฝ่ายไทยจะดำเนินการต่อเรื่องนี้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตาม อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา โดยการมีหนังสือถึงประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา คือ ประเทศญี่ปุ่น และจะมีหนังสือถึง เลขาธิการสหประชาชาติ
ในขณะเดียวกัน จะเดินหน้าชี้แจงประชาคมระหว่างประเทศ โดยจะมีหนังสือถึง สหรัฐอเมริกา และจะมีหนังสือถึง มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และจะส่งหนังสือดังกล่าวให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบด้วย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ คือมาเลเซียและสหรัฐฯ ต่างมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้สังเกตการณ์การลงนามถ้อยแถลงร่วมฯ ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (12 พฤศจิกายน) ทางกระทรวงการต่างประเทศจะจัด บรรยายสรุปให้แก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยทั้งหมด เพื่อชี้แจงท่าทีไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้เวียนผลสรุปการชี้แจงทั้งหมดที่จะชี้แจงต่อคณะทูต ให้กับสถานเอกอัครราชทูตไทยที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อที่จะได้ชี้แจงให้กับประเทศเจ้าบ้านต่อไป เพื่อให้มีท่าทีทั่วโลกที่สอดคล้องกัน
ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงก็จะเดินหน้าชี้แจงผ่านคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT (ASEAN Observer Team) อย่างเต็มที่
สำหรับขณะนี้นายกรัฐมนตรี อนุทิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ และอยู่ระหว่างเยี่ยมทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ และรับฟังข้อมูลสถานการณ์จริงในพื้นที่
“ประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้ข้อตกลงต่างๆ ในกรอบทวิภาคี รวมถึงถ้อยแถลงร่วมฯ ได้รับการเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” นิกรเดช กล่าว และระบุว่า
“ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และให้คำมั่นที่จะสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างจริงจัง และดำเนินการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยในประเด็นการส่งหนังสือชี้แจงไปยังสหรัฐฯ และมาเลเซีย เขายืนยันว่าจะดำเนินการภายในไม่เกินวันพรุ่งนี้
ส่วนสำหรับคำถามว่า การส่งหนังสือชี้แจงไปยังสหรัฐฯ และมาเลเซีย ช้าหรือเร็ว จะมีผลได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่? เขายืนยันว่า ความได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ที่เนื้อหา และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือที่ไทยมี เช่น ชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งจะมีการชี้แจงด้วยข้อมูลที่เป็นจริง
ส่วนคำถามว่า การที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดต่อเนื่อง ถือเป็นการไม่เคารพอนุสัญญาออตตาวาหรือไม่ และจะทำให้รัฐภาคี โดยเฉพาะญี่ปุ่นในฐานะประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กังวลและเร่งรัดกัมพูชาหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 7 ครั้ง ของกัมพูชา ย่อมแสดงถึงความไม่เคารพในภาคีที่ตนเองเป็นสมาชิก และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฯ แน่นอน แต่ตอบแทนประธานไม่ได้ โดยทราบว่าอนุสัญญาออตตาวาได้ดำเนินการในการเรียกประเทศที่ถูกร้องเรียนไปอธิบายข้อเท็จจริงแล้ว และเลขาธิการ UN ก็ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ส่วนข้อกังวลที่สถานการณ์จะกลับไปสู่การเผชิญหน้า? เขามองว่า มีเหตุผลให้กังวลแน่นอน เพราะมีการละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ และไทยได้ระงับการดำเนินการตามข้อตกลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากกัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการทำตาม 3 ข้อเรียกร้อง สถานการณ์ก็ไม่น่าจะบานปลายไปสู่การสู้รบ โดยเรื่องนี้เป็นอำนาจของฝ่ายทหารในการประเมินการปฏิบัติของกัมพูชา


