วันนี้ (11 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 11.45 น. สิริพงศ์ อังคกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดบริเวณเขตแดนไทย ซึ่งเกิดจากการลอบวางระเบิดของฝ่ายกัมพูชา ทำให้ทหาร 1 นายได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า และอีก 1 นายได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด แม้ทหารทั้ง 2 นายจะไม่ได้เสียชีวิต แต่ถือเป็นเหตุไม่พึงประสงค์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย
นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในช่วงเช้าที่ผ่านมา มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ ระงับการดำเนินการตาม สนธิสัญญาว่าด้วยนำไปสู่สันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา (Joint Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย อย่างไม่มีกำหนดการ จนกว่าสถานการณ์ความเป็นปฏิปักดิ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาจะลดลง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมจัดมาตรการด้านความมั่นคงอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการประท้วงทางการทูต รวมถึงสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้สังเกตการณ์ ให้รับทราบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมประชาชน นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนใน 7 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเตรียมพร้อม หากเกิดเหตุปะทะ
รวมถึงสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซักซ้อมการปฏิบัติตามแผนหลบภัยอย่างสม่ำเสมอ โดยกำชับให้ถือปฏิบัติอย่างเข้มข้น
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานจาก ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลด้านบริหารจัดการน้ำ ว่าจากอิทธิพลพายุคัลแมกี ทำให้มีมวลน้ำจำนวนมากไหลเข้าสู่เขื่อนภูมิพล และเขื่อนอื่นๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สทนช. กรมชลประทานและทางจังหวัด ประสานงานกัน ช่วยแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการผันน้ำให้รับทราบล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวและขนย้ายข้าวของ รวมทั้งเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวโดยเร็วที่สุด โดยระบายน้ำออกทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่อยู่อาศัยและชุมชน
สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ โสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ ร่วมกับ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาอัตราช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมในพื้นที่ที่เป็นจุดรับน้ำ รวมถึงกำหนดอัตราเยียวยาพิเศษสำหรับประชาชนที่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมเกิน 30 วัน โดยกำชับให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้
ในส่วนของพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุขถึงสาระสำคัญของกฎหมาย โดยพบว่าประกาศดังกล่าวไม่ได้ระบุช่วงเวลาห้ามจำหน่ายสุราโดยตรง แต่ให้ยึดตาม ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ซึ่งกำหนดให้ห้ามจำหน่ายสุรา นอกเหนือจากเวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น.
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับสถานที่บางประเภท เช่น อาคารให้บริการในสนามบินระหว่างประเทศ และโรงแรมที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
ทั้งนี้ จากข้อกำหนดดังกล่าว ทำให้ร้านอาหารทั่วไปไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ส่งผลให้เกิดความสับสนในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ นายกรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งพิจารณาแนวทางแก้ไข โดยคาดว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจน
คาดว่าภายในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 จะได้ข้อสรุปแนวทางที่เหมาะสม เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนอย่างทั่วถึง


