การเมืองอเมริกาไม่เคยเงียบ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเสียงสะท้อนจากผลเลือกตั้งนอกรอบดังยิ่งกว่าเดิม เมื่อพรรค Democrats คว้าชัยถล่มทลายในหลายรัฐ
ที่ Virginia อดีตเจ้าหน้าที่ CIA Abigail Spanberger ชนะเลือกตั้ง ขึ้นเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของรัฐ ที่ New Jersey อดีตส.ส. Mikie Sherrill ผู้ชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ และที่นครนิวยอร์ก ผู้นำแนวคิดประชาธิปไตยสังคมนิยม Zohran Mamdani ชนะเลือกตั้งกลายเป็นนายกเทศมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรอบร้อยปี
ผลลัพธ์ทางการเมืองเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการเมืองสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังซื้อขายใกล้ระดับสูงสุด การทำความเข้าใจทิศทางการเมือง เศรษฐกิจ และผลต่อตลาดทุน เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนไทยต้องรู้ให้ทันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมมองว่าการเมืองพลิกขั้วครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ ครั้งนี้เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่ที่ตลาดหุ้นไม่ตอบสนองอาจเป็นเพราะผลของ AI และข้อมูลที่ขาดหาย
ตัวเลขที่น่ากังวลที่สุด คือดัชนีภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของ University of Michigan ล่าสุดแตะระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ พร้อมกับหนี้บัตรเครดิตพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่กว่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
แม้ตัวเลขการเติบโตของ GDP จะเป็นบวก 1 – 3% แต่เงินเฟ้อ (CPI) ทรงตัวสูงกว่า 3% ตลอดตั้งแต่ต้นปี ชี้ว่าการเติบโตอาจไม่ได้หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รายได้ของชาวสหรัฐฯ ที่โตไม่ทันค่าใช้จ่ายสะท้อนออกมาเป็นผลทางการเมือง
ฝั่งตลาดหุ้นและปธน. Trump เหมือนอยู่คนละโลกเศรษฐกิจจริง เพราะ AI Trade ดันดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 15 – 20% จากต้นปี เสมือนว่าทุกอย่างไปได้สวย
ขณะเดียวกัน รายงานเศรษฐกิจที่ขาดช่วงจากปัญหา Government Shutdown บีบให้ผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุนต้องอาศัยแต่ราคาและกำไรของหุ้น ความหวังจึงชนะความจริงชั่วคราว
นโยบายการเมืองที่เป็นตัวแปรหลักช่วงท้ายปี 2025 คือ Government Shutdown
หากหาข้อตกลงไม่ได้ การจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 2 ล้านคน อาจหยุดชะงัก กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหดตัว 0.2–0.3% GDP ต่อเดือน และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่นการจ้างงานและเงินเฟ้ออาจไม่ถูกเผยแพร่
ข้ามไปปี 2026 สหรัฐฯ จะเข้าสู่ช่วง Midterm Election เป็นจังหวะที่การเมืองชี้นำตลาดมากที่สุด ถ้าคะแนนความนิยมของพรรค Democrats เพิ่มขึ้นต่อ Trump อาจต้องเสียทั้งสองสภาหนักกว่าปี 2018
การแก้เกมที่น่าจะเป็นที่สุดคือรีบหาข้อตกลงหยุด Shutdown ก่อน และเร่งสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงผ่อนคลายภาษีการค้า
แต่หากพรรค Republican รักษาฐานเสียงไว้ได้ Trump อาจเลือกกดดันทางการเมืองต่อ ด้วยการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐผ่านการตัดงบของนโยบายฝั่ง Democrats และเปลี่ยนเป้าหมายไปกดดัน Fed ให้ผ่อนคลายทางการเงินแทน
ต่อจากนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมกับสามสถานการณ์หลัก
กรณีที่ดีที่สุด Reopening Rally เมื่อ Shutdown จบเร็ว เศรษฐกิจฟื้นตัวด้วยกระแส AI
ถ้า Trump รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง การหาทางจบเรื่องงบภาครัฐกับ Democrats ให้เร็วคือคำตอบที่ดีที่สุด
ในกรณีนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะดีดกลับ GDP ปี 2026 เติบโต 2.5 – 3.0% Fed ไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยทันทีในเดือนธ.ค. บอนด์ยีลด์อายุ 10ปี ซื้อขายในกรอบ 4.0 – 4.5% หนุนดอลลาร์ทรงตัวเหนือ 32.0 บาท
และเมื่อไม่มีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ AI Trade จะสามารถหนุนตลาดต่อได้ หนุนคาดการณ์กำไร 12 เดือนข้างหน้าของตลาด (NTM EPS) ที่ระดับ 290 ดอลลาร์ S&P500 สามารถซื้อขายระดับ 6,700-7,100 ได้ไม่ยากในช่วงสิ้นปี
อย่างไรก็ดี กรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดในมุมมองของผมคือ Soft Patch เศรษฐกิจเปิดแค่บางส่วน ขณะที่ตลาดกระจายตัวออกจาก AI
เพราะ Trump เกลียดความพ่ายแพ้ และถ้ายอมถอย Democrats อาจเรียกร้องมากขึ้น เสี่ยงต่อการเมืองปีหน้า การ Reopening จะไม่กลับมาเหมือนเดิม 100%
ผลลัพธ์คือการใช้จ่ายสิ้นปีชะลอตัว จุดเด่นของกรณีนี้คือ Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยทันทีมากขึ้น บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี มีแนวโน้มลดลงไปที่กรอบ 3.5 – 4.0% กดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าหลุด 32.0 บาท
นักลงทุนมีตัวเลือกในการลงทุนมากขึ้น ทั้งจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง (Small Cap) และดอลลาร์ที่อ่อนค่า (International Equities) อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 อาจต้องมาตั้งหลักที่ระดับ 6,250 – 6,750 จุด จากการกระจุกตัวใน AI ที่ลดลง
ส่วนกรณีเลวร้ายคือ Reboot Failure ปัญหา Shutdown ยืดเยื้อ ลุกลามไปสู่เศรษฐกิจ และงบการเงินของบริษัท
ถ้าค่าจ้างไม่เข้าก่อนช่วงวัน Thanksgiving ปีนี้ (27 พ.ย.) การจับจ่ายช่วงเทศกาลจะหายไปทันที และคาดว่าจะกระทบอารมณ์ของเศรษฐกิจอย่างหนัก
นักลงทุนอาจต้องเตรียมพร้อมรับดัชนี S&P500 ที่ย่อตัวลงถึง 6,100 จุด (-10% จากระดับปัจจุบัน) ดอลลาร์จะแข็งค่ากลับขึ้นสูงกว่า 32.5 บาท แม้ Fed อาจลดดอกเบี้ยแน่นอน
เสียงสะท้อนทางการเมืองดังขึ้น ยิ่งทำให้จังหวะการลงทุนมีความซับซ้อน แต่เมื่อแยกสิ่งรบกวนนี้ออกได้ เราจะเห็นสัญญาณและโอกาสการลงทุนในทุกกรณีครับ

ระดับ P/E ของ S&P500 และดัชนีภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ที่มา: Bloomberg และ FSS
ภาพ: Andrew Harnik/Getty Images


