การเผชิญหน้าระหว่างสองมหาอำนาจ จีน-สหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ณ ปัจจุบัน โดยหลายประเทศรวมถึงไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างนโยบายและยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่ตามมา
ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ทั้งสงครามร้อน (การสู้รบโดยใช้อาวุธ) และสงครามเย็น (การสู้รบโดยไม่ใช้อาวุธ เช่น เศรษฐกิจ การค้าและการเมือง) ตลอดจนการแข่งขันทางเทคโนโลยี และภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทั่วโลก
โจทย์ความท้าทายเหล่านี้ ถูกหยิบยกขึ้นหารือบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Redefining Thailand’s Role in the New World Order : ไทยในสมรภูมิอำนาจโลก รุกเพื่อกลับสู่จอเรดาร์ได้อย่างไร” ภายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่
- นิกรเดช พลางกูร
อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
- รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และอดีตที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี (2546-2549)
ดร.สุรชาติ เรียกความเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนตัวของปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น ว่าเป็น ‘รอยเลื่อนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Shift)’
โดย ณ วันนี้โลกได้เห็นรอยเลื่อนนี้แล้ว แต่คำถามสำคัญสำหรับประเทศไทย คือเราจะรับมือมันอย่างไร?
6 ปัจจัยท้าทายสำหรับไทย
ดร.สุรชาติชี้ว่าโจทย์ท้าทายสำหรับประเทศไทย ณ วันนี้ มี 6 ปัจจัย ทั้งภายนอกและภายใน โดยปัจจัยภายนอกได้แก่
1.ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
2.สงคราม
3.สงครามการค้า
4.สแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามพรมแดน
5.ภาวะโลกรวน
6.ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
ขณะที่ปัจจัยภายในนั้น โจทย์ใหญ่มีทั้งเสถียรภาพทางการเมือง, ภาวะเศรษฐกิจ สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาในมิติความมั่นคง อย่างปัญหาความ เหลื่อมล้ำ ทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเมืองเป็นโจทย์ข้อแรกที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อน
“ถ้าโจทย์ภายนอก ก็หนีไม่พ้นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งการจะสู้ก็ลำบากสำหรับไทยเพราะเป็นประเทศเล็ก แต่การที่จะรับมือโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์ได้ โจทย์การเมืองภายในต้องได้คำตอบก่อน” เขากล่าว
ด้านนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นในมุมนโยบายการต่างประเทศ โดยเห็นด้วยว่าการเมืองภายในของไทยต้องนิ่งเสียก่อน จึงจะช่วยให้การกำหนดนโยบายต่างประเทศมีความต่อเนื่อง
เขาชี้ว่าสิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุล ระหว่างกระแสกับหลักการ และมองว่าเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้นมีความสำคัญพอๆ กับภูมิเศรษฐศาสตร์ ท่ามกลางบริบทของระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นโอกาสของไทยที่จะชูบทบาทในระดับโลก
“เรากำลังพูดถึงการเป็นฮับความเชื่อมโยง พูดถึงการเป็นฮับความมั่นคงทางอาหาร ฮับความมั่นคงทางพลังงาน มีหลายเรื่องที่ระเบียบโลกเอื้ออำนวยให้ไทยเข้าไปมีบทบาท”
โดยเขาชี้ว่า ไทยไม่จำเป็นต้องเล่นทุกเรื่อง และต้องมีทั้ง Niche Diplomacy หรือการทูตที่มุ่งเน้นเฉพาะบางเรื่อง และ Hedge Diplomacy หรือการทูตแบบสมดุล โดยเลือกวาระ แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกฝ่าย
ไทยต้องกล้า ‘ชกเกินน้ำหนัก’
นิกรเดช ชี้ถึงแนวทางของกระทรวงการต่างประเทศในการวางนโยบายการต่างประเทศ ท่ามกลางโจทย์ภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยชี้ว่า ณ ตอนนี้ ไทยพร้อมที่จะ ‘ชกเกินน้ำหนัก’
เขาอธิบายว่าคำนี้ ไม่ใช่การเผชิญหน้า แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงรุกในวาระต่างๆ ที่เป็นวาระของโลก
“ตัวอย่างที่จับต้องได้ คือประเทศ ไทยเพิ่งไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนมา และต่อด้วย APEC ขณะที่ไทยเองก็เดือดร้อนจากเรื่องอาชญากรรมข้ามพรมแดน และได้เอาเรื่องนี้ไปผลักดันในเวทีอาเซียน โดยบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ ประเทศไทย แต่เป็นปัญหาของภูมิภาคหรือมากกว่านั้น คือเป็นปัญหาของโลก ซึ่งเราก็ไปขยายแนวคิดว่า จะจัดการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยเรื่องการต่อต้าน อาชญากรรมออนไลน์ และมีหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ เกาหลี จีน อาเซียน อินเดีย ที่ให้ความสนใจ อันนี้คือการชกข้ามน้ำหนักสำหรับผม คือการแสดงบทบาทในวาระที่ Beyond Thailand หรือมากกว่าประเทศไทย”
โดยไทยสนับสนุนให้มี Action Plan ในเรื่องนี้ ซึ่งนิกรเดช กล่าวว่าเราควรมีบทบาทนำ และชวนประเทศพันธมิตรมาร่วมด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการหารือกับเกาหลีใต้แล้ว และมีหลายประเทศที่บอกว่าจะมาร่วมสนับสนุนการต่อต้านปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงออนไลน์
อย่างไรก็ตาม สำหรับโจทย์ความท้าทายที่ไทยต้องก้าวข้ามให้ได้ เขาชี้ว่ามีอยู่ 3 เรื่อง คือ
1.ประเทศไทยต้อง Relevant หรือ มีส่วนร่วมในวาระระดับโลกมากกว่านี้
2.ประเทศไทยต้อง Competitive หรือ มีศักยภาพในการแข่งขันมากกว่านี้
3.ประเทศไทยต้อง Visible มีบทบาทนำที่ทั่วโลกมองเห็นมากกว่านี้
“ถ้าเราทำได้ครบสามอย่างนี้ ไทยจะไม่ใช่ผู้ตาม แต่จะเป็นประเทศที่คนอื่นต้องฟัง”
กลยุทธ์สู่ Middle Power
สำหรับคำถามว่าไทยมีโอกาสที่จะก้าวไปถึงขั้นเป็น ประเทศอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) ได้หรือไม่นั้น ดร.สุรชาติ ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังคงอีกไกลกว่าจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการที่ไทยหายไปจากจอเรดาร์โลกนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2014
“ถ้ามองความเป็นจริง วันนี้ถามว่าไทย เป็นรัฐมหาอำนาจมั้ย มันเป็นโดยเงื่อนไขในความหมายว่า เป็น ‘ รัฐมหาอำนาจในภูมิภาค’ แต่ถ้าจะเป็น Middle Power หรือ Small Power เรายังเป็นไม่ได้ เพราะปัญหาภายในหลังรัฐประหาร ปี 2014 ซึ่งเราหายไปจากจอเรดาร์ หรือพูด ง่ายๆ คือไทยใช้นโยบายเครื่องบินล่องหน F117 คือ ไม่ ปรากฏบนจอเรดาร์มานานมาก”
เขาชี้ว่าการจะขยายบทบาทและทำให้ไทยกลับสู่จอเรดาร์นั้น คำถามที่รัฐบาลไทยต้องตอบมี 6 เรื่อง คือ
1. Location ของประเทศไทยบนแผนที่ทางภูมิรัฐศาสตร์โลกอยู่ตรงไหน
2. จะฟื้นสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างไร
3. เศรษฐกิจและการลงทุน ไหลไปเวียดนามกับอินโดนีเซีย ทำอย่างไรที่จะดึงกลับมาสู่ไทย
4. ความเป็นไปได้ที่จะสร้างบรรยากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจ หลังเลือกตั้ง
5. ไทยจะเดินบนกระดานหมากรุกโลกอย่างไร
6. รัฐบาลจะสื่อสารกับประชาชนไทยอย่างไร
Rare Earth ไพ่เศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์ของไทย
อีกประเด็นที่อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของการทูตเชิงเศรษฐกิจ คือการลงนาม บันทึกความเข้าใจไทย-สหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก หรือเรียกง่ายๆ ว่า MOU แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นการเดินหมากใหม่ในเกมอำนาจทางเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานโลก
รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ขยายประเด็นนี้ว่า “Rare Earth อยู่ในกำมือของจีน” ที่ควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมากกว่า 90% ของตลาดโลก ซึ่งการที่สหรัฐฯ เข้ามาเจรจากับไทยและลงนามใน MOU จึงสะท้อนว่า “ไทยมีไพ่ในมือที่โลกต้องการ” แต่จะใช้ไพ่นั้นอย่างไรขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐในการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว”
“นี่คือสิ่งที่อาจจะเรียกว่า เป็นสมรภูมิแร่หายากที่มหาอำนาจแข่งขันกัน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐ พูดเองเลยว่า จะลดการพึ่งพาจีนให้ได้ภายใน 24 เดือน หรือ 2 ปี” รศ.ดร.อักษรศรี กล่าว
ขณะที่เธอชี้ว่าการทำ MOU ระหว่างไทยและสหรัฐฯ นั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าจะดำเนินการความร่วมมืออย่างไรต่อไป โดยหากไทยจะเข้าไปเป็นโซ่ข้อหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ซึ่งหากมีการลงนาม MOU แต่ไม่ทำอะไรเลย อาจจะ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ และไทยควรที่จะ Diversify หรือกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการสิ่งที่มีให้มากกว่านี้
“เกมนี้เราต้องเล่นให้เป็น จะมองเป็นโอกาสก็ได้ หรือหากไม่เล่นเกมนี้ เราอาจจะ ไปมุ่งที่อุตสาหกรรมอื่น ก็เป็นโจทย์ที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ”
ด้าน นิกรเดชมองว่าการลงนามใน MOU ฉบับนี้ ไทย ‘ได้มากกว่าเสีย’
เขามองว่าการขยับครั้งนี้คือ “แรงบีบเชิงบวก” ที่จะทำให้ไทยต้องเร่งดำเนินการและวางยุทธศาสตร์ในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับแร่หายากต่อไป


