Nvidia Corp. ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดการเงินโลกอีกครั้ง เมื่อกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 175 ล้านล้านบาท ได้สำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
การทะยานขึ้นของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิป AI รายนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างสถิติใหม่ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่บริษัทนี้มีต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางของ Wall Street อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แมตต์ มิสกิน รองหัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนร่วมของ Manulife John Hancock Investments กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “นี่คือสิ่งที่โดดเด่นอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต เป็นสิ่งที่น่าจับตามองแห่งยุคสมัยจริงๆ”
Microsoft Corp., Meta Platforms Inc. และ Amazon.com Inc. ต่างให้คำมั่นว่าจะยังคงใช้จ่ายอย่างหนักในด้าน AI บริษัททั้งสี่คาดว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายรวมกัน 34% เป็นประมาณ 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg
การใช้จ่ายเหล่านั้นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมรายได้ของ Nvidia จึงคาดว่าจะสูงถึง 2.85 แสนล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณหน้า เพิ่มขึ้นจากเพียง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2020
ทั้งนี้ Bloomberg รายงาน 5 ปรากฏการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Nvidia กำลังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลกอย่างไร
1. น้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในฐานะบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก Nvidia มีน้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงถึง 8.5% ซึ่ง มากกว่ามูลค่าของบริษัทที่อยู่ท้ายตาราง 240 แห่งรวมกัน ตัวเลขนี้ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่สำหรับหุ้นตัวเดียวในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แซงหน้าสถิติเดิมของ Apple (7.7% ในปี 2566) และ Microsoft (7.4% ในปี 2566) ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven มีน้ำหนักรวมกันในดัชนีสูงถึง 36%
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ แมตต์ มิสกิน ตั้งข้อสังเกตว่า “มันรู้สึกเหมือนว่าดัชนี S&P 500 กำลังใส่ไข่จำนวนมากไว้ในตะกร้าใบเดียว”
2. มีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ ‘เกือบทุกประเทศ’ ในโลก
มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของ Nvidia ไม่เพียงแต่ทิ้งห่าง Apple ในอันดับสองไปไกลถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ยังมีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ เนเธอร์แลนด์, สเปน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี รวมกัน
หากเปรียบเทียบเป็นรายประเทศ ปัจจุบัน Nvidia มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นของทุกประเทศในโลก ยกเว้นเพียง 5 ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และอินเดีย
3. Wall Street เทใจให้ ‘ซื้อ’ เกือบเป็นเอกฉันท์
ความเชื่อมั่นต่อ Nvidia ยังคงท่วมท้นในหมู่นักวิเคราะห์ โดย 91% ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และมีนักวิเคราะห์เพียงรายเดียว คือ เจย์ โกลด์เบิร์ก จาก Seaport Global ที่ให้คำแนะนำ “ขาย” สวนทางตลาดมาตั้งแต่เดือนเมษายน หลังจากราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่นั้นมา
ล่าสุด นักวิเคราะห์จาก HSBC ได้ให้ราคาเป้าหมายที่สูงที่สุดในตลาดที่ 230 ดอลลาร์ ซึ่งหากไปถึงจุดนั้น จะทำให้ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์
4. การเติบโตของรายได้ที่ ‘ผิดปกติ’ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่
โดยปกติ บริษัทที่มีขนาดใหญ่มากมักจะเติบโตได้ช้าลง แต่ Nvidia กลับเป็นข้อยกเว้น โดยคาดว่ารายได้ในปีงบประมาณปัจจุบันจะ ขยายตัวเกือบ 60% แม้จะชะลอตัวลงจากสองปีก่อน แต่ก็ยังทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่คาดโต 15% และ Apple ที่คาดโต 6.2% อย่างขาดลอย
แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการทุ่มงบลงทุน (Capex) ด้าน AI ของกลุ่ม Big Tech โดย Microsoft, Meta, Amazon และ Google คาดว่าจะใช้จ่ายรวมกันถึง 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ Nvidia
5. สร้างความมั่งคั่งให้ เจนเซน หวง แตะระดับ Top 10 ของโลก
การทะยานขึ้นของหุ้นได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งสุทธิของ เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีอของบริษัท พุ่งสูงถึง 1.76 แสนล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้เพียงปีเดียว ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งใน 10 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
Jensen Huang Effect!
ไม่เพียงแค่ 5 ปรากฏการณ์ข้างต้น ความร้อนแรงของ Nvidia ยังได้แผ่ออกไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยดัชนี Kospi เปิดตลาดสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนด้วยการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 2.5% ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
การทะยานขึ้นครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเดือนที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ นับแต่ปี 2001 โดยพุ่งขึ้น 20% ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI และการที่ Nvidia Corp. เข้ามาทำข้อตกลงกับบริษัทเทคโนโลยีในประเทศ
แรงซื้อในวันนี้ (3 พฤศจิกายน) ยังคงกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำของเกาหลีใต้อย่าง Samsung Electronics Co. และ SK Hynix Inc. ซึ่งทั้งคู่เป็นซัพพลายเออร์คนสำคัญของ Nvidia นอกจากนี้ กระแสเชิงบวกดังกล่าวยังได้แผ่ขยายไปยังหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง HD Hyundai Electric Co. รวมถึงบริษัทหุ่นยนต์และเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ที่ถูกมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา AI
อัน ฮยองจิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Billionfold Asset Management Inc. เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Jensen Huang Effect” โดยอ้างถึงการมาเยือนกรุงโซลของ CEO แห่ง Nvidia เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อประกาศข้อตกลงต่างๆ อัน ฮยองจิน กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากการเข้าพบผู้นำธุรกิจอย่าง เจย์ วาย. ลี ประธานของ Samsung และผู้บริหารรายอื่นๆ “กำลังถูกขยายผลอย่างมากในตลาด”
อ้างอิง:


