ภาพของเดอะ ค็อป ผู้ร้องเพลง ‘You’ll Never Walk Alone’ ก่อนลงสนามและหลังจบเกมทุกนัด แต่กลับเดินออกจากสนามแอนฟิลด์ก่อนที่เวลาการแข่งขันจะหมดลงเป็นเครื่องสะท้อนที่น่าตกใจ
แม้แต่พวกเขาเองก็ทนดูไม่ไหวกับทีมของอาร์เนอ สลอต ที่เลือกทีมชุดสำรองก่อนสุดท้ายพ่ายแพ้แบบหมดรูปต่อคริสตัล พาเลซ 3-0 กระเด็นตกรอบฟุตบอลลีก คัพอย่างน่าเศร้า
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นการแพ้เกมที่ 6 จาก 7 นัดหลังสุด ที่ทำให้สถานการณ์ของลิเวอร์พูลอยู่ในขั้นที่ไปไกลกว่า ‘วิกฤติ’ จนอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘วิปริต’ ได้เลยทีเดียว และนั่นแปรผกผันโดยตรงกับความมั่นคงในตำแหน่งของอาร์เนอ สลอต บอสใหญ่ที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังเป็นฮีโร่ แต่วันนี้เริ่มมีเสียงต่อต้านดังมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากนี้ลิเวอร์พูลจะเจอเกมโหดระดับ 5 ดาวถึง 3 นัดติดต่อกัน เริ่มจากแอสตัน วิลลา (พรีเมียร์ลีก), เรอัล มาดริด (ยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก) และแมนเชสเตอร์ ซิตี
นี่จะเป็น 3 นัดที่ตัดสินชะตาของกุนซือหัวใสหรือไม่?

ยกธงขาวทำไม?
ย้อนกลับไปในเกมลีก คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้แฟนๆสงสัยอย่างมากคือการจัดทีมด้วยการใช้ผู้เล่นสำรองทั้งหมด รวมถึงบนม้านั่งสำรองเป็นนักเตะเยาวชนที่แทบไม่มีใครมีประสบการณ์ในการเล่นทีมชุดใหญ่เลย
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เรื่องนี้อาจพอเข้าใจได้ว่าต้องการเก็บผู้เล่นชุดหลักไว้ แต่ในสถานการณ์ที่ทีมเสียความมั่นใจไปจนหมด เกมลีก คัพ เมื่อคืนนี้เป็นหนึ่งในโอกาสที่จะกอบกู้ศรัทธากลับมาไม่ใช่หรือ? คือสิ่งที่เดอะ ค็อปจำนวนมากตั้งข้อสงสัย
สุดท้ายแม้นักเตะชุดสำรองที่ความจริงยังมี เฟเดริโก คิเอซา, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, วาตารุ เอ็นโด และอเล็กซิส แม็กคัลลิสเตอร์ จะพยายามประคองทีมแล้วแต่ไม่สามารถต่อกรกับพาเลซ ที่ยังใช้ผู้เล่นชุดหลักเกือบทุกตำแหน่งไม่ไหว
แถมทีมยังเล่นในระบบ ‘หลังสาม’ ที่ไม่เคยใช้มาก่อนด้วย สุดท้ายลิเวอร์พูลโดนสอนบอลคาบ้านไป 3-0 แบบน่าอดสู
สภาพของทีมที่สู้ไม่ได้ทำให้แฟนบอลเริ่มทยอยเดินออกจากสนามกลับบ้านกันตั้งแต่ช่วงนาทีที่ 80 ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกอย่างมาก และนำมาซึ่งคำถามในการตัดสินใจของอาร์เนอ สลอต ที่เลือกจัดทีมแบบนี้ในเกมนี้
ไม่ให้เกียรติกับแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์ในสนามหรือเปล่า?
เรื่องนี้บอสชาวดัตช์ชี้แจงว่าเขาตัดสินใจพักทีมเพราะลิเวอร์พูลกำลังจะมีโปรแกรมหนัก 3 นัดติดต่อกันในช่วง 10 วันหลังจากนี้ เริ่มจากแอสตัน วิลลาในเกมสุดสัปดาห์, เรอัล มาดริด ในกลางสัปดาห์หน้า และปิดท้ายแมนเชสเตอร์ ซิตี ในวันหยุดสุดสัปดาห์ถัดไป
การเก็บตัวหลักทั้งหมดไว้ก็เพื่อถนอมนักเตะไม่ให้มีปัญหาบาดเจ็บอีก เพราะช่วงที่ผ่านมาทีมมีผู้เล่นบาดเจ็บตลอดแทบทุกนัดจนเหลือผู้เล่นให้ใช้งานน้อยลงเรื่อยๆ
เรื่องนี้ฟังแล้วก็พอเข้าใจ แต่สิ่งที่ฟังแล้วหลายคน ‘เอ๊ะ!’ ขึ้นมาคือการบอกว่าลิเวอร์พูลมีโปรแกรมต้องลงสนามติดต่อกันแทบทุก 2-3 วัน ซึ่งความจริงมันไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเดิมที่เจอกันเป็นปกติอยู่แล้ว
สตีเฟน วอร์น็อค อดีตนักเตะลิเวอร์พูลในยุคมิลเลนเนียม วิเคราะห์สถานการณ์ให้กับทาง BBC ว่าเหตุผลที่กุนซือชาวดัตช์หยิบยกมาใช้นั้นเป็นการ ‘แก้ตัว’ (แม้เจ้าตัวจะพยายามดักด้วยการบอกว่าไม่ได้แก้ตัวก็ตาม) ด้วยการบอกเป็นนัยว่าขุมกำลังของทีมไม่แกร่งพอ รวมถึงการต้องลงสนามต่อเนื่องในแชมเปียนส์ ลีกต่อพรีเมียร์ลีกว่าเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนั้นฟังไม่ขึ้น
มันจะเป็นการดีกว่าไหมหากจะใส่ผู้เล่นชุดหลักลงไปอีก อย่างน้อยให้มีผู้เล่นมีประสบการณ์บนม้านั่งสำรองเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในเกม ดีกว่าจะส่งนักเตะดาวรุ่งลงไปเจอกับคู่แข่งที่เก่งกว่า แกร่งกว่า เก๋ากว่า และไม่ได้อะไรเลยจากเกมแบบนี้
และมันจะดีกว่าไหมหากจะแสดงให้เห็นว่าพยายามที่จะเอาชัยชนะที่อยู่ตรงหน้าเพื่อหยุดวิกฤติให้ได้ก่อน
ดีกว่าส่งทีมไปแบบยอมยกธงขาวง่ายๆแบบนี้ สุดท้ายแล้วไม่มีใครได้อะไรเลยหรือไม่?

จากวิกฤติถึงมหันตภัย
ก่อนออกสตาร์ตฤดูกาล ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ถูกจับตามองอย่างมากในฐานะแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกที่ลงทุนมหาศาลกว่า 400 ล้านปอนด์ในการเสริมทัพช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
เจเรมี ฟริมปง, มิลอส เคอร์เคซ, โฟลเรียน เวียร์ตซ์, ฮูโก เอคิติเก, จิโอวานนี เลโอนี, อเล็กซานเดอร์ อิซัค รวมถึงประตูสำรองมือ 3 อย่างเฟรดดี วูดแมน ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนเดอะ ค็อปทั่วโลกอย่างมาก เพราะเกือบทุกคนถือว่าเป็น ‘ของดี’ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่แชมป์เก่าเปิดฉากด้วยการชนะรวดในลีก 5 นัด รวมถึงในแชมเปียนส์ ลีก และลีกคัพอีกอย่างละนัด เป็นการชนะรวด 7 นัดที่ชวนให้คิดว่าพวกเขาช่างแข็งแกร่งและมีศักยภาพที่จะลุ้นความสำเร็จได้ยาวๆ
แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็พลิกผัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงจากแย่เป็นเลวร้ายจนถึงขั้นเลวร้ายเกินทนจะรับไหวในเวลานี้
ใน 7 นัดหลังสุดมีเพียงเกมเดียวที่ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะได้คือการบุกไปชนะไอน์ทรัคต์ แฟรงก์เฟิร์ตในเกมแชมเปียนส์ ลีก ด้วยสกอร์ 5-1 นอกเหนือจากนั้นพวกเขาแพ้ในเกมพรีเมียร์ลีกถึง 4 นัดติดต่อกัน จนทำให้จากการนำโด่งจ่าฝูง 5 คะแนน ตอนนี้ตามหลังอาร์เซนอลไกลถึง 7 คะแนน ในแชมเปียนส์ ลีกแพ้กาลาตาซาราย และล่าสุดคือการโดนพาเลซ ทีมจอมแสบในช่วงหลังบุกมาสอนบอลถึงแอนฟิลด์ในศึกลีกคัพ
สถานการณ์นั้นต้องบอกว่าเลยคำว่าวิกฤติไปไกลมากแล้ว
นี่ไม่ใช่ฟอร์มของทีมแชมป์หรือทีมระดับท็อป แต่เป็นทีมระดับหนีตกชั้น หรือทีมที่พังทลาย
และตรงนี้นี่เองที่ทำให้น่าเป็นห่วง
เพราะคนที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างอาร์เนอ สลอต ยอมรับว่าเขาเองก็ไม่มีคำตอบ

ไม่มีคำตอบ
ตั้งแต่ลูกเตะทิ้งช่วงท้ายเกมแบบไม่ได้คิดอะไรของมิลอส เคอร์เคซ ในเกมที่พบกับคริสตัล พาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก จนกลายเป็นที่มาของประตูชัย 2-1 สำหรับเจ้าบ้านจากเอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ ลิเวอร์พูลก็เริ่มพังทลายราวกับกดปุ่มทำลายตัวเองโดยไม่ตั้งใจ
ปัญหาต่างๆ ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมด้วยชัยชนะในช่วง 7 นัดแรก ที่เกือบทุกนัดเป็นการยิงชนะช่วง ‘นาทีบาป’ ตอนนี้ถูกเปิดเปลือยให้เห็นทุกอย่าง ในระดับที่เอานิ้วจิ้มตรงไหนก็ร้องโอย
เกมรุกชุดใหม่มีเพียงแค่เอคิติเก คนเดียวเท่านั้นที่พอจะทำผลงานได้ดี นอกจากนั้น 2 นักเตะค่าตัวแพงระดับสถิติสโมสรอย่างเวียร์ตซ์ และอิซัค ต้องบอกว่าสอบตกอย่างน่าผิดหวัง ขณะที่แกนหลักเดิมอย่างโคดี กักโป และโม ซาลาห์ ก็ไม่ได้ช่วยทีมได้มากนัก
คักโปอาจจะมีสกอร์บ้างแต่การเล่นร่วมกับทีมยังมีปัญหา ขณะที่ซาลาห์นั้นหนักกว่าจากฮีโร่ของทีมแทบทุกนัด วันนี้กลายเป็นนักเตะที่แฟนบอลเรียกร้องให้พักการเล่นก่อนเพราะอย่าว่าแต่ทำประตูหรือสร้างสรรค์เกมเลย แม้แต่การจับบอลก็ยังเอาไม่อยู่ ร่างกายเริ่มช้ากว่าสมองอย่างเห็นได้ชัด
แต่ที่หนักกว่านั้นคือเกมรับที่เสียประตูง่ายๆตลอดเวลา ซึ่งกลายเป็นปัญหาชัดเจนเพราะในเวลาที่ทีมพยายามจะทำประตูอยู่แต่ยังไม่ทันไรเกมรับเสียประตู ทุกอย่างที่วางมาต้องปรับแผนตามหน้างานใหม่หมด
มองจากรูปเกมหลายเสียงเห็นตรงกันว่าลิเวอร์พูลไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับบอลยาว (Direct) ของคู่แข่ง รวมถึงลูกเซตเพลย์ และแม้แต่ลูกทุ่มไกลที่เป็นเหตุให้ทีมเสียประตูถึง 2 ลูกในเกมพรีเมียร์ลีกกับพาเลซ และล่าสุดกับเบรนต์ฟอร์ด
ตรงนี้ก็น่าเป็นห่วง แต่มันไม่แย่เท่ากับการที่สลอตจะออกมายอมรับเรื่องนี้ว่าเขาเองไม่มีคำตอบเหมือนกันว่าถึงจะมีการซักซ้อมอย่างไร ทีมกลับไม่สามารถหาวิธีที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย

From believer to doubter
สิ่งที่นักวิเคราะห์พยายามอ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของลิเวอร์พูล เหตุผลหลักๆ มองไปในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงภายในทีมที่มีหลายจุด
การอำลาทีมของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ดาร์วิน นูนเยซ, หลุยส์ ดิอาซ, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, ควีวิน เคลเลเฮอร์ รวมถึงการจากไปแบบใจสลายของดีโอโก โชตา ทำให้ต้องมีการเติมผู้เล่นเข้ามาหลายตำแหน่ง
2 ในนี้อย่างเทรนต์ และดิอาซ เป็นผู้เล่นในระดับ Key man ของทีมที่มีความสำคัญกับแท็กติกและระบบการเล่นอย่างมาก ซึ่งมาเห็นได้ชัดในฤดูกาลนี้ที่ไม่มีผู้เล่นทั้งสองคนอยู่กับทีมอีกแล้ว เมื่อแดนบนไม่มีใครช่วยเพรสซิงไล่บอลแบบเดิม และไม่มีบอลริมเส้นรวมถึงลูกเปิดมหัศจรรย์ของเทรนต์อีก
ผู้เล่นใหม่อย่าง ฟริมปง,, เวียร์ตซ์, เอคิติเก ยังต้องเรียนรู้กับฟุตบอลในลีกใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างมาก ขณะที่คนที่มีประสบการณ์เดิมอย่างเคอร์เคซ และอิซัค ก็ต้องเรียนรู้กับระบบและวิธีการเล่นของทีมใหม่ด้วยเช่นกัน
ภายในทีมงานของสลอตยังมีการเปลี่ยนแปลงอีก 2 ตำแหน่งสำคัญเมื่อ จอห์นนี ไฮติงกา มือซ้ายของเขาได้ข้อเสนอให้คุมทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ขณะที่เคลาดิโอ ทัฟฟาเรล โค้ชประตูระดับตำนานชาวบราซิลขออำลาทีมเพื่อกลับบ้านเกิดหลังอยู่ในอังกฤษมาหลายปี
ดังนั้นการจะบอกว่าลิเวอร์พูลอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไม่ใช่เรื่องผิด
แต่สิ่งที่มันดูและชวนคิดว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่คือผลงานในสนามของทีม ที่ดูแม้แต่สลอตเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทีมถึงเจอปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ แบบนี้ และเหมือนขาดความกระหายที่จะลงเล่น จะสู้ จะทำเพื่อทีมเหมือนเดิม
ในเกมกับเบรนต์ฟอร์ด อิบราฮิมา โคนาเต ปล่อยให้เควิน ชาเดอ กระชากหลุดเข้าไปยิงง่ายๆ เหมือนคนถอดใจ
เรื่องการเสียความมั่นใจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่การแพ้ติดๆ กันหลายนัดแบบนี้และมีอาการประมาณนี้มันมีคำถามให้คิดต่อ
นักเตะแค่ขาดความเชื่อมั่นในการเล่น แท็คติกมีปัญหายังแก้ไม่ได้ สูญเสียแนวทางการเล่นไป
หรือมันเป็นแค่อาการ ‘แฮงก์’ หลังปีที่คว้าแชมป์ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหลายๆทีม
หรือนักเตะไม่เชื่อในตัวผู้นำของเขาอีกแล้ว สลอตได้สูญเสีย ‘ห้องแต่งตัว’ ของเขาไปแล้วหรือ
มีอะไรเกิดขึ้นหลังฉากหรือเปล่า?
แต่ใดๆ ก็ตามตอนนี้ลิเวอร์พูลได้เปลี่ยนจากทีมที่เคยเป็น Believer กลับมาเป็น Doubter อีกครั้งแล้ว

3 นัดวัด (กึ๋น+) ใจ
ถึงแม้จะมีการยืนยันว่าฝ่ายบริหารของลิเวอร์พูลยังหนักแน่นสนับสนุนการทำงานของอาร์เนอ สลอตเหมือนเดิม
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า 3 นัดนับจากนี้มีโอกาสจะชี้ชะตาของเจ้าตัวได้เลย
แอสตัน วิลลา คู่แข่งทีมแรกในวันเสาร์นี้กำลังอยู่ในช่วงที่อูไน เอเมรี สามารถเรียกฟอร์มและความมั่นใจของทีมกลับมาได้สำเร็จ ล่าสุดสยบแมนเชสเตอร์ ซิตีได้อย่างน่าประทับใจ
เรอัล มาดริด ภายใต้การนำของชาบี อลอนโซ ยังแกร่งทั่วแผ่นและเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสทั้งทีม โดยเฉพาะแนวรุกที่ไม่รู้จะหยุดใครก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็น คิเลียน เอ็มบัปเป, วินิซิอุส จูเนียร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, อาร์ดา กูแลร์
และการกลับมาแอนฟิลด์ของเทรนต์ที่จะได้ลงสนามแน่นอนเพราะดานี คาร์บาฮาล บาดเจ็บ
ปิดท้ายด้วยคู่ปรับเดิมอย่างแมนฯ ซิตี ที่แม้จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ในฤดูกาลนี้ก็เริ่มค่อยๆ หาทางกลับมาได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะเอร์ลิง ฮาแลนด์ที่ฟอร์มการถล่มประตูร้อนแรง อันตราย
การเดิมพันของสลอตในการทิ้งลีก คัพ เพื่อใช้งาน 3 เกมนี้ ถ้าได้ผลตอบแทนที่ดี อย่างน้อยมีชัยชนะหรือมีสัญญาณบวกให้เห็นบ้างก็อาจจะลดความกดดันหรือต่ออายุการทำงานได้
แต่ถ้าพวกเขายังเป็นแบบที่ผ่านมา บอลไม่มีทรงไม่พอ ยังไม่มีใจในการเล่นด้วย บางทีฝ่ายบริหารอาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์และมองหาสาเหตุอย่างจริงจัง
จริงอยู่ที่พาทีมเป็นแชมป์ได้ในฤดูกาลที่แล้ว การจะปลดโค้ชที่คว้าแชมป์เร็วขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย และลิเวอร์พูลก็ไม่ใช่สโมสรที่มีวิถีปฏิบัติแบบนั้น
แต่ฟุตบอลทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ อะไรที่ไม่เคยได้เห็น อาจจะได้เห็นก็ได้


