10 ปีมันนานแค่ไหนนะ?
ว่าด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relativity theory) บอกเราว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่เคยคงที่ แต่ ‘เวลาสัมพัทธ’ กับความเร็วและแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์การขยายเวลา (Time Dilation) โดยเวลาจะเดินช้าลงสำหรับผู้สังเกตที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หรืออยู่ในบริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงมาก
แต่บางครั้งเวลาก็อาจจะเดินช้าลงจนเหมือนถูกหยุดไว้ในเวลาที่อะไรๆ มันดูเลวร้ายไปหมดจนแทบมองไม่เห็นความหวัง
เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเต็ม ที่ เดชพล จันศิริ นักธุรกิจชาวไทยเข้ามาครอบครองสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ หรือทีม ‘นกเค้าแมว’ หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ กลายเป็นช่วงเวลาที่มืดมนอนธการที่สุดของสโมสร ไม่ต่างอะไรจากคืนเดือนมืดที่มองไม่เห็นแสงดาว
แฟนเวนส์เดย์ได้แต่คิดและสงสัยว่าเมื่อไรเจ้าของสโมสรคนนี้จะไปจากทีมที่รักของพวกเขาเสียที
ในที่สุดวันนี้สิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยอนาคตที่ยากลำบากของสโมสรที่ไม่รู้ว่าจะเปนอย่างไรต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็พอมองแสงดาวบ้าง
เรื่องราวการต่อสู้ที่น่ายกย่องในการทวงคืนสมบัติล้ำค่าที่รักและหวงแหนกลับมาครั้งนี้ เริ่มต้นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นในเมื่อวาน และวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

‘วันนี้’ ที่ทั้งขมและหวาน
ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นชัยชนะบนความพ่ายแพ้ หรือความพ่ายแพ้บนชัยชนะ
แต่อย่างน้อยที่สุดสำหรับแฟนเวนส์เดย์ทุกคน นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาอดทนรอคอยมาอย่างยาวนาน และต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงมากพอที่จะเป็น ‘ตัวอย่าง’ ที่เป็นกรณีศึกษาของวงการฟุตบอลอังกฤษได้เลยทีเดียว
เพราะการต่อสู้นั้นหนักหน่วงถึงขั้นขอเอาอนาคตของสโมสรในวันพรุ่งนี้มาเดิมพันเลยทีเดียว
เป็นเวลายาวนานที่แฟนเวนส์เดย์พยายามประท้วงการบริหารสโมสรภายใต้ยุคของเดชพล จันศิริ ที่กลายเป็นหนึ่งในเจ้าของสโมสรผู้ได้รับการยกย่องในทางลบว่าเป็นเจ้าของทีมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ในระดับที่เหนือกว่า ไมค์ แอชลีย์ อดีตเจ้าของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
แต่ไม่ว่าจะพยายามส่งเสียงดังแค่ไหน ไม่ว่าจะเพรียกร้องแค่ไหน ก็ไม่เคยมีอะไรที่ดีขึ้นมา ในทางตรงกันข้าม ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ
จนในที่สุดแฟนบอลได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันต่อสู้กับเจ้าของสโมสรในแบบที่พวกเขาพอจะทำได้
นั่นคือการไม่เข้ามาเชียร์ในสนาม และไม่ซื้อสินค้าใดๆ ของสโมสรอีกจนกว่าเดชพลจะไปจากทีมของพวกเขา เพราะการอุดหนุนสโมสรไม่ว่าจะมากหรือน้อยมันคือการต่อลมหายใจให้เจ้าของสโมสรมีเงินมาหมุนในการบริหารกิจการต่อไป แม้ว่าจะติดค้างเงินค่าจ้างทั้งนักเตะและสตาฟฟ์ของสโมสรมายาวนานก็ตาม
การต่อสู้นั้นไม่ว่าจะมีผลน้อยหรือมากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนในการนำไปสู่จุดที่เจ้าของสโมสรชาวไทยไม่สามารถทำอะไรได้อีก นอกจากการยอมรับสภาพให้สโมสรถูกเข้าควบคุมกิจการ (Administration) หรือพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือการถูก ‘บังคับขาย’
ถึงแม้ว่าผลของมันจะทำให้สโมสรต้องถูกลงโทษตัดแต้มจากการกระทำผิดกฎทางการเงินสูงถึง 12 คะแนน และหมายถึงโอกาสในการอยู่รอดในเดอะ แชมเปียนชิพ ในฤดูกาลนี้แทบจะเป็นเรื่องเหนือปาฏิหาริย์ก็ตาม เพราะโดนตัดแต้มจนทำให้ตอนนี้คะแนนติดลบเป็น -6
แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ทำภารกิจใหญ่ร่วมกันสำเร็จ นั่นคือการไล่เจ้าของสโมสรที่เลวร้ายออกไป
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการพยายามร่วมไม้ร่วมมือช่วยกันกอบกู้สโมสรอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการกลับเข้ามาชมเกมในสนามอีกครั้ง ทำให้ยอดผู้ชมที่เคยต่ำลงไปถึงราว 7,000 คนกลับมาที่ 27,261 คนอีกครั้งในเกมล่าสุดที่พบกับอ๊อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด
และในส่วนของการจำหน่ายสินค้าของสโมสรที่ถูกบอยคอตก่อนหน้านี้จากแฟนบอลที่นำโดยกลุ่ม The Sheffield Wednesday Supporters Trust (SWST) เมื่อไม่มีเงาของเจ้าของชาวไทย ทุกคนก็กลับมาอีกครั้งจนสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 200,000 ปอนด์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
รวมแล้วแค่สุดสัปดาห์เดียวสโมสรทำรายได้ถึง 500,000 ปอนด์
ไม่นับการนำโลโก้สโมสรเดิมกลับมา การโละเก้าอี้ชื่อ ‘CHANSIRI’ ออกไปจากสนามฮิลส์โบโรห์ และวิดีโอ ‘Reboot’ ที่เปิดในสนามก่อนเกมที่เปรียบเทียบเจ้าของชาวไทยเป็นเหมือนไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ถูกกำจัดในที่สุดและสโมสรกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

‘เมื่อวาน’ ที่เหมือนจะดี
ความจริงแล้วเมื่อตอนที่เดชพล จันศิริ เข้ามาซื้อกิจการของสโมสรในปี 2015 ด้วยเงิน 30 ล้านปอนด์นั้น ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี
ความสำเร็จของ ‘King Power’ ของคนไทยในการเข้าซื้อกิจการเลสเตอร์และเปลี่ยนโชคชะตาของสโมสร (จนสร้างเทพนิยายจิ้งจอกคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015/16) ทำให้เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ มีความหวังว่าพวกเขาจะเป็นแบบเดียวกัน
นั่นคือเลื่อนชั้นกลับไปสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งและกลับไปเป็นทีมระดับหัวแถวของวงการฟุตบอลอังกฤษอีก
เคยมีช่วงเวลาสั้นๆที่เวนส์เดย์มีความหวังจะทำแบบนั้นได้ แต่เมื่อไม่สามารถเลื่อนชั้นได้สำเร็จ สถานการณ์ทุกอย่างก็ค่อยๆเลวร้ายลงเรื่อยๆ อีเอฟแอล (EFL – English Football League) ลงดาบเรื่องทางการเงินของสโมสรครั้งแรกในปี 2019
ก่อนที่ในปี 2020 จะมีการลงโทษปรับ 12 คะแนนจากความผิดเกี่ยวกับการตกแต่งบัญชีที่เดชพล พยายามอ้างเกี่ยวกับสปอนเซอร์ในเครือของตัวเองที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจจริงจนเรื่องแดงและกลายเป็นความผิดขึ้นมา ก่อนจะมีการอุทธรณ์เพื่อขอลดโทษเหลือ 6 คะแนน แต่ก็ทำให้สโมสรต้องกระเด็นตกไปสู่ลีก วัน ในที่สุด
ในปี 2023 ทีมเลื่อนชั้นกลับมาเดอะ แชมเปียนชิพได้อีกครั้ง แต่ประสบปัญหาในการซื้อขายผู้เล่นเนื่องจากติดค้างเงินกับ HMRC และทำให้ต้องถูกลงโทษตัดแต้มอีกในฤดูกาลต่อมา
เดชพล เคยถึงขั้นบอกให้แฟนฟุตบอลช่วยกันออกเงินคนละ 2 ปอนด์เพื่อปลดภาระทางการเงินของสโมสร ซึ่งเขาไม่สามารถจะอัดฉีดเงินเข้ามาอีกจากปัญหาธุรกิจส่วนตัว และจะไม่จ่ายเงินใดๆ อีกแล้ว ส่งผลให้สตาฟฟ์ ลูกจ้าง นักเตะของสโมสรก็ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง
ลำบากกันไปหมด
จนถึงฤดูกาลนี้ที่ปัญหาทางการเงินรุมเร้าหนัก เวนส์เดย์ถูกดำเนินคดีถึง 5 ข้อหา ทั้งถูกตัดแต้มและถูกสั่งห้ามซื้อผู้เล่นอีก 3 รอบตลาด และในที่สุดก็มาถึงจุดที่บังคับให้เดชพลไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากการยอมให้ถูกควบคุมกิจการและเตรียมนำสโมสรขายทอดตลาดให้แก่นักลงทุนที่สนใจอีกที

ไม่ว่า ‘วันพรุ่งนี้’ จะเป็นอย่างไร
“วันนี้คือวันที่ทั้งหวานและขมที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ 158 ปีของสโมสรเรา” แถลงการณ์จากกลุ่ม SWST
“การถูกควบคุมกิจการไม่ใช่เรื่องที่น่าฉลอง มันไม่จำเป็นที่เรื่องจะต้องจบลงแบบนี้เลย แต่เรายินดีอย่างยิ่งที่เดชพล จันศิริ ไปจากสโมสรของพวกเราสักที”
ในหมู่แฟนเวนส์เดย์แล้วพวกเขาทำใจว่าฤดูกาลนี้คงยากที่จะรอดพ้นจากการตกชั้นได้ชนิดที่ค่อนข้างจะแน่นอนจากปัญหาที่รุมเร้ามาตลอด แต่ความหวังของพวกเขาอยู่ในฤดูกาลหน้าที่หวังว่าจะสามารถก่อร่างสร้างทีมใหม่ขึ้นมาในฤดูกาล 2026/27 และใช้เวลาไม่นานในการกลับมายืนที่เก่า
ไปจนถึงถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปให้ถึงพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
ใดๆ ก็ตาม ช่วงเวลาสำคัญอยู่ที่กระบวนการสรรหาเจ้าของใหม่ด้วยว่าพวกเขาจะได้เจ้าของใหม่แบบไหน ซึ่งในเวลานี้ผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าวเปิดเผยว่ามีกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจติดต่อเข้ามาแล้ว
ในจำนวนคนติดต่อซึ่งมีจำนวนมากที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา อย่างน้อยก็มีถึง 4-5 รายที่เข้าข่ายและให้ความสนใจอย่างจริงจัง
เพราะแม้เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์จะห่างเหินจากลีกสูงสุดและสายตาของแฟนฟุตบอลทั่วโลกมานาน แต่อย่างน้อยพวกเขามีชื่อเสียงจากวันเก่าๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานแฟนฟุตบอลที่แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเข้มแข็งและรักสโมสรของพวกเขามากแค่ไหน
ความรักนี้ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ก็จริง แต่มันเป็นหนึ่งในเหตุผลดีๆ สำหรับนักลงทุนในการจะเดินหน้าคว้าสโมสรที่มีแฟนฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มาครอบครอง
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเขาพร้อมจะยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน
ด้วยเชื่อว่าไม่มีอะไรจะแย่และเลวร้ายกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกแล้ว
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/cvgm6843m60o
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c1lqmmml533o
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/cnve160ljjlo
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/ckg427g2ey2o
- https://www.theguardian.com/football/2025/oct/24/sheffield-wednesday-face-12-point-deduction-administration-notice-filed
- https://www.theguardian.com/football/2025/oct/24/dejphon-chansiri-and-everything-that-has-gone-wrong-at-sheffield-wednesday


