ท่ามกลางความทรงจำมากมายของฟุตบอลอิตาลีในยุค 90 หนึ่งในความทรงจำที่สวยงามและโดดเด่นที่สุดสำหรับใครหลายคนคือเรื่องราวของทีม ‘ม่วงมหากาฬ’ ฟิออเรนตินา ที่แม้จะไม่ใช่ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่ก็เป็นทีมที่สร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนอย่างที่สุด
เพราะนี่คือทีมที่มีคู่หูแข้งทองในโลกของความเป็นจริงที่ไม่มีใครลืม
กาเบรียล บาติสตูตา รุย คอสตา และความฝันสีไวโอเล็ตของทีม ‘ลา วิโอลา’
ความจริงเรื่องราวการจับคู่กันของทั้งสองคนนี้เริ่มจากหายนะในเมืองฟลอเรนซ์
หายนะครั้งนั้นไม่ได้เกิดจากการก่อการร้ายหรือภัยธรรมชาติ แต่เป็นการย้ายทีมของนักฟุตบอลคนเดียวที่แทบจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเมืองทั้งเมือง
ในปี 1990 โรแบร์โต บักโจ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังของทีมฟิออเรนตินาและทีมชาติอิตาลี ย้ายออกไปร่วมทีมยูเวนตุสด้วยค่าตัว 25 ล้านลีร์ (8 ล้านปอนด์) ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในเวลานั้นด้วยความจำเป็นเพราะประสบปัญหาทางการเงิน
การย้ายทีมครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่แฟนๆ ทีมวิโอลาอย่างมาก เพราะระหว่างฟิออเรนตินากับยูเวนตุส พวกเขาคือคู่แข่งที่ไม่มีวันยอมให้กันอย่างเด็ดขาด ความโกรธแค้นถึงขั้นเกิดการจลาจลขึ้นภายในเมืองฟลอเรนซ์ มีการปะทะและทำลายข้าวของสถานที่ต่างๆภายในเมืองเพื่อประท้วงการตัดสินใจของสโมสร จนเป็นเหตุให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากถึง 50 คน
ฟลาวิโอ ปอนเตลโล ประธานสโมสรถึงกับต้องหลบอยู่ในสนามอาร์เตมิโอ ฟรังคีของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจอำลาตำแหน่งในเวลาต่อมา
ส่วนช่องว่างขนาดมหึมาในใจของแฟนบอลที่เสียบักโจไป ต้องมีใครสักคนเพื่อมาทดแทน
เด็กหนุ่มชาวอาร์เจนตินา กาเบรียล โอมาร์ บาติสตูตา คือนักเตะคนนั้น

เพียงแต่การจะทดแทนคนอย่างบักโจ ที่เป็นเหมือนเทพเจ้าของชาวเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย
บาติสตูตา แม้จะเริ่มต้นได้ไม่แย่นักด้วยผลงานการทำ 13 ประตูในฤดูกาลแรกในเซเรีย อา (1991/92) แต่แฟนฟุตบอลชาววิโอลายังไม่ได้ให้การยอมรับเขามากนัก
นั่นเพราะก่อนจะย้ายมาบาติสตูตาไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์มาจากไหน เป็นแค่กองหน้าฝีเท้าดีในลีกอาร์เจนตินาที่เคยผ่านการเล่นให้กับนีเวลส์ โอลด์ บอยส์, ริเวอร์เพลท และโบคา จูเนียร์ส ซึ่งคนที่ค้นพบเขาก็คือรองประธานสโมสรฟิออเรนตินาที่ได้ไปชมเกมที่ละตินอเมริกาพอดีในช่วงปี 1990
อีกทั้งด้วยสไตล์การเล่นบาติสตูตาก็แตกต่างจากบักโจมาก
บักโจ นั้นเป็นนักฟุตบอลในแบบที่เรียกว่า Trequarista ผู้รังสรรค์เกม แต่เขาเป็นได้มากกว่านั้นเพราะสามารถทำได้ทุกอย่างในสนามอยู่ในระดับมหัศจรรย์ที่เรียกว่า Fantasista ขณะที่บาติสตูตาเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะสร้างสรรค์เกมด้วยการเล่นอันสวยงามหรือเต็มไปด้วยจินตนาการได้
ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งดูเลวร้ายไปอีกในฤดูกาล 1992/93 เมื่อฟิออเรนตินา ผลงานย่ำแย่จนถึงขั้นตกชั้นไปอยู่ในระดับเซเรีย บี
อย่างไรก็ดีผลงานของบาติสตูตา ถือว่าเริ่มแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอ เขายิงได้ 16 ประตูในฤดูกาลนั้น
และในฤดูกาลต่อมาเขาก็ยิงอีก 16 ประตูในการช่วยให้ฟิออเรนตินา ซึ่งได้กุนซือคนหนุ่มในเวลานั้นอย่างเคลาดิโอ รานิเอรี เข้ามากอบกู้ทีมช่วยให้ทีมได้เลื่อนชั้นกลับมาเซเรีย อา ได้สำเร็จ
แต่นั่นยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดแต่อย่างใด

ในขณะที่ฟิออเรนตินาเสียบักโจไปด้วยเหตุผลทางการเงิน พวกเขาเองก็ได้นักเตะระดับสุดยอดมาด้วยเหตุผลเดียวกัน
ฤดูกาล 1994/95 ฟิออฯ เดินหน้ารุกฆาตเบนฟิกา ยักษ์ใหญ่แห่งโปรตุเกสที่ประสบปัญหาถังแตกและจำเป็นต้องขายนักเตะที่ดีที่สุดของพวกเขาอย่าง รุย คอสตา ออกจากทีม
รุย คอสตา ในเวลานั้นคือเพชรเม็ดงามของวงการลูกหนังโปรตุเกส เป็น ‘หมายเลข 10’ ระดับอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก ด้วยจินตนาการในการเล่นที่เหนือล้ำก้าวไกลและพรสวรรค์ในระดับใกล้เคียงกับคำว่าฟ้าประทาน
จอมทัพชาวโปรตุเกสถูกดึงตัวมาอยู่กับฟิออเรนตินา โดยที่มีหน้าที่สำคัญเพียงอย่างเดียว
ป้อนบอลให้บาติสตูตาให้ได้!
และนั่นเป็นหน้าที่ที่เขาทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย เพราะทั้งคู่สามารถปรับตัวเล่นกันได้อย่างเข้าขาสุดๆอย่างรวดเร็ว จนถูกเรียกว่าเป็นการเข้าขากันในระดับ ‘เทเลพาธี’ หรือโทรจิตเลยทีเดียว
คอสตาจ่าย บาติสตูตายิง คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จบฤดูกาล 1994/95 บาติสตูตาทำผลงานมหัศจรรย์ยิงในเซเรีย อา ได้ถึง 26 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวมาครองได้ และทำลายสถิติจำนวนประตูสูงสุดที่ยืนยงมากว่า 32 ปีของ เอซิโอ ปาซคุตติ ได้สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือรุย คอสตา
ก่อนที่ทั้งสองจะจับคู่กันสร้างผลงานระบือลั่นในอีกหลายปีต่อมา

พวกเขาช่วยกันพาทีมคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลียได้ในปี 1996 ก่อนที่จะพาฟิออเรนตินาเข้าถึงรอบรองชนะเลิศรายการยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ในฤดูกาลต่อมาที่พ่ายให้แก่บาร์เซโลนา จนต้องหยุดเส้นทางไว้แค่นี้อย่างน่าเสียดาย
แต่ไม่มีเรื่องใดจะน่าเสียดายเท่าในฤดูกาล 1998/99 เมื่อฟิออเรนตินา ดึงตัว ‘อิล แทร็ป’ โจวานนี ตราปัตโตนี หนึ่งในตองอูสุดยอดกุนซือของวงการฟุตบอลอิตาลีเพื่อหวังจะคว้าแชมป์ลีก พิชิตสคูเด็ตโตให้ได้
ในฤดูกาลนั้นฟิออเรนตินาเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม พวกเขามีความหวังเต็มเปี่ยมจริงๆ ที่จะคว้าแชมป์มาครองได้เพราะทั้งบาติสตูตา และคอสตา ไปถึงสถานะผู้เล่นระดับโลกที่หากไม่ใช่ก็ต้องบอกว่าเก่งที่สุดในตำแหน่งของพวกเขา
น่าเศร้าที่ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี บาติสตูตาเกิดบาดเจ็บจนต้องพักการเล่นนานร่วมเดือน
การหายไปของเขาคือจุดจบของทุกอย่าง ฟิออเรนตินา สูญเสียโมเมนตัมที่เคยมี สุดท้ายจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 3
ก่อนที่ ‘บาติโกล’ (สมญาของบาติสตูตา) จะย้ายไปโรมา และทำความฝันให้เป็นจริงได้สำเร็จด้วยการคว้าแชมป์เซเรีย อา ในปี 2000
ส่วนรุย คอสตา ถูกขายออกจากทีมไปให้เอซี มิลานในปี 1 ปีถัดมาด้วยเหตุผลเดิมคือเรื่องทางการเงิน
ปิดฉากตำนานของพวกเขาอย่างเป็นทางการ

ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างที่ฝันไว้ แต่อย่างน้อยการมีอยู่ของบาติสตูตาและรุย คอสตา ก็เป็นช่วงเวลาของความฝันสำหรับแฟนฟุตบอล
ไม่ใช่เฉพาะแค่แฟนของฟิออเรนตินา แต่รวมถึงแฟนฟุตบอลทั่วโลกที่ประทับใจกับความมหัศจรรย์ของคู่หูที่เหมือนออกมาจากการ์ตูน
เรื่องราวของพวกเขายังถูกนำไปใช้ในมังงะฟุตบอลเรื่องดัง ‘Viva Calcio’ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ โย ชีนะ นักฟุตบอลดาวรุ่งฟ้าประทานชาวญี่ปุ่นที่ได้ไปผจญภัยในเซเรีย อา กับทีมฟิออเรนตินา แข่งขันกับสุดยอดนักเตะระดับโลกที่มีตัวตนจริงๆ มากมาย
โดยที่เพื่อนคนสำคัญในทีมก็คือบาติสตูตา และรุย คอสตานั่นเอง
และทั้งหมดนี้คือความทรงจำที่สวยงามของโลกฟุตบอล ความทรงจำสีไวโอเล็ตที่หลายคนยังเก็บใส่ลิ้นชักของหัวใจอยู่
ไม่ว่าเมื่อไรที่คิดถึงนักฟุตบอลที่เป็นคู่หูที่เติมเต็มให้กันและกันได้อย่างมหัศจรรย์
ไม่มีคู่ไหนจะเหนือไปกว่าคู่นี้อีกแล้ว


