ฤดูกาลที่ 80 ของศึกบาสเกตบอล NBA จะเริ่มต้นในช่วงเช้านี้ (22 ตุลาคม) โดยคู่เปิดสนาม ก็เป็นไปตามธรรมเนียมที่แชมป์เก่าอย่าง โอคลาโฮมา ซิตี้ ธันเดอร์ จะได้เฝ้าบ้าน รับการมาเยือนของทีมใดสักทีม โดยตามโปรแกรมปีนี้ เป็น ฮิวสตัน ร็อกเกตส์ ซึ่งแข่งขันกันไปตั้งแต่ช่วง 06.30 น ที่ผ่านมา
แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ ใน NBA ฤดูกาลนี้ ส่วนใหญ่จะยังคงเดิม เช่น ซูเปอร์สตาร์บาสเกตบอล การเล่นระดับสูง และผลการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความแตกต่างที่น่าสังเกตบางประการที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไป และก็มีจุดน่าสนใจที่แฟนๆ ต้องโฟกัสกันก่อนการแข่งขันจะเปิดฉาก
เรื่องแรกที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ นั่นคือมีการเปลี่ยนแปลงกฎที่สำคัญจำนวนหนึ่งซึ่งถูกนำมาใช้สำหรับฤดูกาลนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้เล่นและโค้ช และน่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดใน NBA ปีนี้
การเปลี่ยนแปลงกฎข้อแรกคือเรื่องของกฎ “heave rule” ที่จะมีผลบังคับใช้ในฤดูกาลนี้
โดยกฎนี้ระบุว่า การชู้ตใด ๆ ที่กระทำจากระยะห่างจากแป้นอย่างน้อย 36 ฟุต (11 เมตร) ภายในสามวินาทีสุดท้ายของควอเตอร์สามควอเตอร์แรก จะถูกนับเป็นการยิงของทีม และไม่ใช่การยิงส่วนบุคคล
โดยแนวคิดเบื้องหลังกฎใหม่นี้คือเพื่อส่งเสริมให้ผู้เล่นกล้าที่จะชู้ตระยะไกลในช่วงวินาทีสุดท้ายของควอเตอร์มากขึ้น โดยที่ความพยายามนั้นจะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเปอร์เซ็นต์การยิงส่วนตัวของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการออกกฎข้อนี้มา ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายในช่วงท้ายเกม บรรดานักบาสฯ จะไม่มัวมาคิดเรื่องสถิติแต่อย่างใด
นอกเหนือจาก heave rule แล้ว NBA ยังให้ความสำคัญกับกฎ high five เป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากกรรมการต้องการจัดการกับการสัมผัสที่ไม่จำเป็นและมากเกินไปในการชู้ต
กฎ high five เป็นส่วนหนึ่งในกฎการฟาวล์ใหม่ ที่ระบุว่าหากผู้เล่นฝ่ายป้องกันทำการสัมผัสถูกมือ ข้อมือ หรือแขนของผู้ชู้ต หลังจากที่ปล่อยลูกไปแล้ว (follow-through contact) จะถูกเป่าเป็นการฟาวล์ทันที
ในกรณีที่มีการสัมผัสที่ชัดเจนจนผิดกฎโดยไม่จำเป็น หรือมีการสัมผัสที่มากเกินไปในการเคลื่อนไหวหลังจากที่ปล่อยลูกในการพยายามชู้ตแล้ว อาจถูกตัดสินว่าเป็นฟาวล์รุนแรง หรือ Flagrant ได้
อย่างไรก็ตามการตัดสินในกฎข้อนี้ ให้ดุลยพินิจต่อผู้ตัดสินในสนามในการตัดสิน โดยหามองว่าการสัมผัสเพียงเล็กน้อยหรือโดยบังเอิญที่มือในขณะที่ปล่อยลูกโดยผู้เล่นฝ่ายป้องกันที่พยายามบล็อกช็อตยังคงถือว่าเป็นการป้องกันที่ถูกกฎอยู่
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลง คือกฎของการชาลเลนจ์คำตัดสินของโค้ช ก่อนหน้านี้ หัวหน้ากรรมการในสนาม จะเป็นผู้กำหนดว่าควรมีการเป่าฟาวล์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียง (proximate foul) หรือไม่
แต่ขั้นตอนการตัดสินในรูปแบบใหม่ กำหนดว่าเจ้าหน้าที่จากศูนย์ภาพช้า หรือ Replay Center จะเป็นผู้ทำการตัดสินใจแทน เพื่อกระบวนการตรวจสอบการเล่นภาพช้าที่กระชับขึ้น ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่ามีการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อผู้ตัดสินได้มองภาพจากหลายมุมในศูนย์ภาพช้า
ในส่วนของการแข่งขันในปีนี้ ก็อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ว่าบรรดาทีมต่างๆ ที่มีลุ้น หรือ อาจจะมีลุ้นใน NBA ปีนี้ ก็อาจมีหน้าตาไม่ต่างจากเดิมมากนัก
อ้างอิงจาก เพาเวอร์ แรงกิ้งของสื่อหลายสำนักก็มองไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ โดยพวกเขามองว่า ทีมอันดับ 1 ของทั้งลีก และ ของสายตะวันตก ก็ยังคงเป็นแชมป์เก่าอย่าง โอเคซี ธันเดอร์
ด้วยความที่ขุมกำลังยังคงแข็งแกร่ง ภายใต้การนำของ เช กิลเจียส อเล็กซานเดอร์ โอเคซี ยังเป็นทีมเบอร์ 1 ของทั้งลีก และของสายตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยในสายนี้ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ ถูกมองว่าเป็นทีมเต็งอันดับ 2 ภายใต้การนำของ นิโกลา โยกิช และอันดับที่ 3 ใน เพาเวอร์ แรงกิ้ง สายตะวันตก ถูกมองว่าเป็น มินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ที่มี แอนท์แมน แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ นำทัพ
ส่วนทีมขวัญใจแม่ยกในสายนี้อย่าง โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส และ แอลเอ เลเกอร์ส ที่จะเจอกันเองในเกมวันเปิดฤดูกาล ก็จะอันดับไล่ลงไป แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในโซนกลางๆ
ส่วนในสายตะวันออก ทีมอันดับ 1 สายนี้ และหลายสำนักมองว่าเป็นอันดับ 2 ในเพาเวอร์แรงกกิง หนีไม่พ้น นิวยอร์ก นิกส์ ที่ทำผลงานดีที่สุดในรอบ 25 ปี เมื่อฤดูกาลก่อน และได้ ไมค์ บราวน์ มาคุมทีมในปีนี้
อันดับ 2 ในสายนี้ ชนิดเบียดกันมาติดๆ หรือบางแห่งก็ให้เหนือกว่านิกส์ ก็ต้องเป็นทาง คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ที่ผลงานในฤดูกาลปกติเป็นอันดับ 1 ในปีก่อน แต่มาตกม้าตายในเพลย์ออฟ
และอันดับ 3 สายตะวันออก ที่อาจจะดูห่างกว่า 2 ทีมเต็งด้านบนสักหน่อย ก็เป็นทาง ออร์แลนโด แมจิค ที่ผลงานดีวันดีคืน ภายใต้การนำทัพของ เปาโล บันเชโร กับพี่น้อง ฟรานซ์ และ มอริตซ์ วากเนอร์
ขณะที่ทีมระดับเพลย์ออฟอย่าง บอสตัน เซลติกส์ ถูกลดลำดับลงไปอยู่กลางๆ หลังการบาดเจ็บของสตาร์เบอร์ 1 ของทีมอย่าง เจย์สัน เททัม เช่นเดียวกับ อินเดียนา เพเซอร์ส ที่ ไทรีส ฮาลิเบอร์ตัน ก็มีอาการบาดเจ็บเช่นกัน
โดยในปีนี้นี้ แฟนๆ ชาวไทยมีทางเลือกใหม่ในการรับชม NBA มากขึ้น จากการเข้ามาลุยตลาดนี้อย่างเต็มตัวของ Amazon ในชื่อ NBA on Prime ที่คว้าสัญญาการถ่ายทอดสดกว่าปีละ 60 คู่ ยาวนานถึง 11 ปี
โดยหากสมัคร Prime Video เพียงเดือนละ 149 บาท รับชมเกม NBA ได้ 60 คู่ต่อฤดูกาล และชมเกมในช่วงเพลย์ออฟได้แบบปีเว้นปีด้วย โดยในช่องทางนี้ จะเริ่มถ่ายทอดคู่แรก ในวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2568 (ตามเวลาประเทศไทย) ประเดิมด้วยสองเกมต่อเนื่อง ด้วย บอสตัน เซลติกส์ พบ นิวยอร์ก นิกส์ (เวลา 6.30 น.) ตามด้วย มินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ พบ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส (เวลา 9.00 น.)
นอกจากนี้ ทาง AIS เจ้าของลิขสิทธิ์ใหม่ ของ NBA ก็คว้าสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรวมแล้วกว่า 290 คู่ตลอดฤดูกาล ผ่านแพ็กเกจรับชม NBA ในราคา 249 บาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งในแพ็กเกจนี้ จะรวมเกมของ NBA on Prime แล้วด้วย
โดยแพ็กเกจนี้ จะสามารถรับชมเกมได้ตั้งแต่เกมนัดเปิดสนามวันนี้ (22 ตุลาคม) ที่ ฮิวสตัน ร็อคเก็ตส์ จะพบกับ โอเคซี ธันเดอร์ (06.30 น.) และ แอลเอ เลเกอร์ส จะรับการมาเยือนของ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส (09.00 น.) เลยด้วย