แม้ว่าจะวางมือจากการเป็นคนหน้าฉากในบทบาทของผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลไปปีเศษแล้ว แต่เจอร์เกน คล็อปป์ ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอย่างสูงในโลกของฟุตบอล
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มันจะเป็นเสียงที่ส่งถึงกลางใจของผู้คนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนฟุตบอลทีมไหนก็ตาม เพราะคำพูดของคล็อปป์นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่เป็น ‘ปัญญา’ (Wisdom) ที่ส่งผ่านมาจากคนที่ประสบความสำเร็จมาอย่างมากมายด้วยแนวทางและวิธีการที่พิเศษเฉพาะตัว
เพราะแบบนี้รายการสัมภาษณ์พิเศษทางแชนแนล ‘The CEO Diary’ ของสตีเวน บาร์ตเลตต์ พิธีกรสัมภาษณ์ผู้มีชื่อเสียงของโลกสมัยใหม่ ที่ชักชวนให้คล็อปป์มาพูดคุยบอกเล่าและแบ่งปันเรื่องราว มุมมอง ประสบการณ์มากมายของเขาในหลากหลายประเด็นสำคัญจึงเป็นหนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ทรงคุณค่า มีความหมาย และทรงพลังอย่างยิ่งในหลายมิติ
ที่สำคัญคือบทสัมภาษณ์นี้มีมากกว่าแค่คำถามที่สร้างความฮือฮาวูบไหวในโซเชียลมีเดียว่า ‘เขาอยากจะกลับมาคุมลิเวอร์พูลอีกครั้งหรือไม่’
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล็อปป์เล่าในรายการ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่น่าสนใจ แต่เป็นประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นครั้งแรกๆ ด้วย ที่เราได้ยินสิ่งเหล่านี้จากปากของเขาเอง
ขออนุญาตหยิบเอามาฝากกันในวันนี้ครับ
1. จงเรียนรู้ที่จะแพ้ก่อนที่จะชนะ
สโมสรแรกที่คล็อปป์ได้โอกาสในการทำงานคุมทีมคือไมนซ์ 05 ในปี 2001 โดยที่ในช่วงเวลานั้นทีมกำลังประสบปัญหาอย่างมากภายใต้การนำของเอ็คการ์ด เคราต์ซุน ผู้เป็นโค้ชในเวลานั้น
ในภาวะวิกฤติทีมได้ตัดสินใจร่วมกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมเพราะนักฟุตบอลไม่อยากลงเล่นใต้การนำของเคราต์ซุนแล้ว ซึ่ง ‘คล็อปโป้’ ในฐานะนักเตะอาวุโสของทีมได้รับเลือกให้เป็นโค้ชรักษาการณ์แทนเพื่อคุมทีมลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์ก่อน
แต่ความมหัศจรรย์คือหลังจากเข้ามาคุมทีม ผลงานของไมนซ์ก็ดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ดีคล็อปป์เองก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะประสบความสำเร็จกับไมนซ์ ในการพาทีมขึ้นสู่บุนเดสลีกาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เพราะทีมทำได้แค่ ‘เกือบ’ หลายครั้ง
สำหรับบางคนความผิดหวังจากการทำได้แค่เกือบนั้นอาจจะกลายเป็น ‘แผลเป็น’ ทางใจไปจนตาย
แต่สำหรับคล็อปป์แล้ว ความพ่ายแพ้โดยเฉพาะการทำได้แค่เกือบนั้นคือต้นทุนสำคัญของชีวิต เพราะมันทำให้เขาได้เรียนรู้และรู้จักกับความพ่ายแพ้ก่อน
เพราะแพ้เป็นแล้ว จึงทำให้เขาเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะในเวลาต่อมา
คล็อปป์บอกว่า “ผมไม่ได้เป็นคนที่เกิดมาเพื่อชนะไม่หยุด แต่ผมเป็นคนที่ไม่เคยหยุดพยายาม”
ไม่มีใครที่ชนะหรือได้ทุกอย่างที่อยากได้เสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าจะรับมือกับความรู้สึกหลังจากนั้นอย่างไรมากกว่า
ยังอยากได้สิ่งนั้นอยู่ไหม
หรือไม่อยากได้แล้ว?
ที่สำคัญ “ถ้าไม่เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ นั่นแหละคือความพ่ายแพ้ที่แท้จริง”
2. เลือกงานที่เหมาะกับเรา
ด้วยความที่บาร์ตเลตต์ พิธีกรเป็นแฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประเด็นคำถามคาใจที่เขาถามแทนใครอีกหลายคนคือ
ทำไมถึงเลือกลิเวอร์พูลแต่ไม่เลือกแมนฯ ยูไนเต็ด?
ย้อนเวลากลับไปในปี 2013 คล็อปป์ยอมรับว่าเขาเคยได้รับการติดต่อจากยูไนเต็ดจริงเพราะเป็นช่วงที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กำลังจะวางมือ
เพียงแต่ในเวลานั้นนอกจากทีมดอร์ทมุนด์ของเขาจะอยู่ในช่วงที่สุดยอดมากๆ (คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกัน, เข้าชิงแชมเปียนส์ ลีก) แนวทางของแมนฯ ยูไนเต็ดที่บอกกล่าวมาก็ฟังดูไม่เข้ากับแนวทางของเขามากนัก
คำสำคัญที่คล็อปป์บอกคือ ‘มันไม่ใช่โปรเจกต์ของผม’
ในความหมายคือด้วยความที่แมนฯ ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก พวกเขามีแนวทางของสโมสรใหญ่ ดึงดูดสตาร์มากมาย ซื้อใครก็ได้ (หนึ่งในชื่อที่มีการพูดถึงคือคริสเตียโน โรนัลโด) แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คล็อปป์ต้องการ
เขาต้องการทำงานในแบบที่เขาต้องการจะทำ สร้างทีมในแบบที่จะเล่นฟุตบอลที่เขาอยากเห็น
โชคชะตาคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาได้มาอยู่กับลิเวอร์พูล เพราะในช่วงปี 2015 หลังจากอำลาดอร์ทมุนด์และประกาศจะพักงาน ซึ่งเวลานั้นก็มีข้อเสนอเข้ามามากมายแต่ไม่ได้รับพิจารณา หลังจากนั้นไม่กี่เดือนลิเวอร์พูลได้ติดต่อเข้ามา
โดยทันทีที่เอเยนต์กระซิบบอกกับเขาในวีดีโอคอลว่า “ลิเวอร์พูล” ลูกชายของเขาสองคนที่ดูอยู่ด้วยก็บอกทันทีว่า “YES” และคล็อปป์รู้ตัวทันทีว่าเขาคงต้องกลับมาทำงานอีกแล้ว อีกทั้งลิเวอร์พูลในโลกของฟุตบอลเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นสโมสรที่พิเศษ
แต่เหนืออื่นใดมันคือแนวทางการทำงานที่ได้หารือกับผู้บริหารของลิเวอร์พูลและพบว่าเป็นงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่าที่แมนฯ ยูไนเต็ด
ไม่ได้หมายความว่างานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไม่ดี แต่แค่มันไม่เหมาะกับแนวทางของตัวเองเท่านั้น
3. อย่าเสียเวลาเปล่า
ท่ามกลางรายละเอียดในการทำงานมากมายในตำรับของคล็อปป์ หนึ่งในคำพูดที่เขาพูดถึงอย่างน้อย 2 ช่วงในบทสัมภาษณ์คือการบอกว่า “การไม่ทำให้เต็มที่คือการเสียเวลาเปล่า”
ในการจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะคืออะไร แน่นอนว่าทุกคนย่อมคาดหวังว่าจะได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้างไม่มากก็น้อย
ใครก็อยากทำงานให้สำเร็จทั้งนั้น ไม่มีใครอยากพลาด
แต่สำหรับคล็อปป์แล้วต่อให้การทำงานนั้นจะผิดพลาด การลงสนามวันนั้นจะพ่ายแพ้ แต่มันจะไม่เป็นไรเลยหากเราได้พยายมอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว
นั่นเพราะบนโลกใบนี้ไม่มีใครการันตีอะไรให้เราได้ทั้งนั้นว่าถ้าเราทำแบบนั้นแล้วจะดี แบบนี้แล้วจะชนะ แต่ขั้นต่ำที่สุดที่เราจะสามารถการันตีกับตัวเองได้คือวันนั้นเราได้พยายามทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
ถ้าทำแล้วมันสำเร็จก็ดี
ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ ก็พยายามใหม่ พยายามให้มันมากขึ้นจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
ใส่ให้สุด แล้วจะไม่เสียใจ
คำพูดนึงของเขาที่คมและดีมากๆคือ “ผมไม่ได้มาเพื่อจะได้ทุกสิ่ง แต่ผมมาเพื่อจะให้ทุกอย่าง”
4. The Secret of Liverpool
หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลในยุคของคล็อปป์ไม่ใช่เรื่องของความสำเร็จ
แต่เป็นเรื่องของ ‘วัฒนธรรมองค์กร’ (Culture) ที่ดีมากๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลายคนอยากรู้ว่าคล็อปป์ทำอะไรทำไมทุกคนถึงพร้อมที่จะโดดน้ำลุยไฟเพื่อเขา
คล็อปป์ให้คำตอบว่ามันไม่ได้มีอะไรบอกได้ชัดๆว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างเช่น การให้ความเคารพต่อผู้อื่น (Respect) ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นเรื่องของชีวิตด้วย
โดยที่เขาพยายามทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาให้เกียรติทุกคนในสโมสรเสมอ ไม่ว่าจะทำงานตำแหน่งไหนก็ตาม จะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลเสื้อผ้า หรือคนดูแลสนาม ทุกคนเสมอกันหมด เช่นนั้นนักเตะเองก็ให้เกียรติทุกคนเหมือนกัน
ยิ่งให้เกียรติคนอื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับเกียรติกลับมามากเท่านั้น
สิ่งละอันพันละน้อยแบบนี้มันทำให้เกิดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และ Vibe ของที่ทำงานที่ชวนให้อยากตื่นเช้ามาทำงาน
เกิดเป็นความกลมเกลียวเหนียวแน่น ที่เป็นหัวใจสำคัญของลิเวอร์พูลในยุคของเขา
ลิเวอร์พูล ที่เป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่น่าอยู่ คนเก่งๆอยากย้ายมาเล่นด้วย และทุกคนพร้อมจะทำเพื่อคนอื่น ซึ่งนั่นหมายถึงยิ่งช่วยกันมากเท่าไร โอกาสจะชนะก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
5. ปล่อยมือเมื่อหมดแรง
ในชีวิตบางครั้งต่อให้เรารักสิ่งนั้นมากแค่ไหน แต่หากมันมีความรู้สึกว่าหนักหนาจนเกินไป ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการยอมรับและปล่อยวาง
ไม่ต้องบอกว่าคล็อปป์รักลิเวอร์พูลมากแค่ไหน แต่ถึงจุดหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกหมดแรง ไม่อยากคิดถึงวันข้างหน้า เหนื่อยเกินกว่าจะคิดถึงอนาคต มองไม่เห็นภาพของตัวเองยืนคุมทีมข้างสนามอีก
คล็อปป์ตัดสินใจทันทีว่าเขาพร้อมจะปล่อยวาง
สำหรับเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยนั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 หรือในช่วงที่ทีมไม่มีผู้อำนวยการสโมสรคอยช่วยเหลือ ซึ่งคล็อปป์ยอมรับเองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยแสนสาหัสและกินพลังอย่างมาก
โดยที่ย้ำว่าตัวเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส (ที่กลับมาช่วยบริหารลิเวอร์พูลอีกครั้งหลังเขาจากไป คล็อปป์แจงว่าเป็นเพราะ FSG ต้องการ ‘ผู้นำ’ สักคนที่จะดูแลโปรเจ็คต์ของสโมสร)
แค่บางทีมันเหนื่อยมากจนเกินไป ไม่เหลือพลังจะทำ
สิ่งที่ต้องทำคือการปล่อยมือและไปพัก อย่าฝืน
สำหรับในเวลานี้คล็อปป์มีความสุขกับการทำงานกับ Red Bull ในบทบาท Head of Global Soccer ที่กำกับดูแลและให้คำปรึกษาแก่สโมสรฟุตบอลในเครือที่มีกระจายหลายแห่งทั่วโลก
โดยที่เขายืนยันว่าเขาไม่ได้คิดถึงการคุมทีมข้างสนาม ไม่ได้คิดถึงการยืนตากฝนคุมซ้อมวันละ 3 ชั่วโมง ไม่คิดถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อสัปดาห์ละ 3 วัน หรือราว 10-12 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่ได้คิดถึงห้องแต่งตัว (ที่มีกลิ่นตลบอบอวลด้วย)
สิ่งที่เขาคิดถึงคือ ‘ผู้คน’ ในเวลาที่เด็กๆ ในทีมนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน คิดถึงเสียงหัวเราะของฟาน ไดค์
ส่วนคำถามที่หลายคนอยากรู้และพิธีกรถามแทนให้
“มีโอกาสที่คุณจะกลับมาคุมทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งไหม?”
คล็อปป์ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนนัก เขาแค่บอกว่า “ผมเคยบอกว่าผมจะไม่กลับมาคุมทีมในอังกฤษอีก เพียงแต่ถ้าเป็นลิเวอร์พูล ในทางทฤษฎีก็เป็นไปได้”
แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่มีใครรู้
เพราะคล็อปป์ดูมีความสุขกับชีวิตในเวลานี้ เพียงแต่อนาคตคือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า
และนี่คือส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ซึ่งความจริงยังมีรายละเอียดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากมายที่สนุกมากๆ
เอาไว้มีโอกาส (และถ้าอยากอ่านกัน) จะเอามาเล่าอีกนะครับ 🙂