จากกรณีคลิปชายชาวจีนทำหน้าที่เสมือนไกด์ ข่มขู่นักท่องเที่ยวให้ซื้อของ กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการท่องเที่ยวไทย
หลังมีรายงานว่า Mr. Z ผู้ปรากฏในคลิปได้เดินทางออกนอกประเทศแล้วเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 17.41 น. ปลายทางเมืองซีอาน ประเทศจีน
ขณะที่ผลสอบเบื้องต้นของหน่วยงานรัฐกลับสรุปว่า ‘พฤติกรรมยังไม่เข้าข่ายการทำหน้าที่ไกด์เถื่อน’ททั้งที่หลักฐานในคลิปชัดเจนว่ามีการนำเที่ยวและข่มขู่ลูกทัวร์ จนเกิดคำถามว่าคดีนี้กำลังกลายเป็น “มวยล้มต้มคนดู” หรือไม่
ด้าน ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ซึ่งติดตามปัญหา ไกด์เถื่อน และ ทัวร์นอมินี อย่างใกล้ชิด เปิดเผยว่า จากผลการตรวจสอบเบื้องต้นของหน่วยงานรัฐ ยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยว่าคดีนี้อาจมีการช่วยเหลือกันภายในระบบ จนนำไปสู่การหลบหนีของผู้กระทำผิด และการตีความข้อกฎหมายที่อาจเข้าข่าย
‘ปัดความผิด’
ปารเมศตั้งข้อสังเกตว่า การสรุปเช่นนี้อาจเป็นการจงใจตีความเพื่อช่วยให้ Mr. Z และบริษัทต้นสังกัดพ้นผิด ทั้งที่การทำหน้าที่มัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาฐานแย่งอาชีพสงวนของคนไทย โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า มีไกด์ไทยชื่อ นาย A ถูกใช้เป็น ‘Sitting Guide’ หรือฉากบังหน้า เพื่อให้บริษัทหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ
ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐกลับเลือกตั้งข้อหากับบริษัททัวร์ในประเด็นมขายรายการนำเที่ยวต่ำกว่าทุน ตามมาตรา 31 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท ข้อหานี้ถือเป็นความผิดทางธุรกิจที่มีโทษเบา เมื่อเทียบกับการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดอาญา และเปิดช่องให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดใหม่ได้ง่าย ไม่แตะถึงเครือข่ายทุนเถื่อนที่อยู่เบื้องหลัง
ปารเมศระบุว่า กรณีนี้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสัญญาณชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่หันไปเที่ยวประเทศอื่นมากขึ้น รายได้รวมจากการท่องเที่ยวลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยท- กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนหลายประเทศออกคำเตือนการเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนและเกาะช้าง ซึ่งยิ่งกระทบภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในสายตานานาชาติ
ปารเมศได้เรียกร้องไปยัง อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เข้ามากำกับดูแลการสอบสวนของกรมการท่องเที่ยวด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้จบเพียงสำนวนเบา และลงโทษเป็นพิธี พร้อมย้ำว่าต้องตั้งข้อหา ‘ไกด์เถื่อน‘ และ ’นอมินี‘ หากพบว่ามีมูลความผิดจริง รวมถึงขยายผลตรวจสอบโครงสร้างบริษัทที่อาจเกี่ยวพันกับทุนต่างชาติ เพื่อยุติปัญหาเครือข่ายทัวร์นอมินีที่แฝงตัวอยู่ในระบบ
อีกหนึ่งข้อเรียกร้องสำคัญคือการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ว่าการปล่อยให้ Mr. Z เดินทางออกนอกประเทศเป็นเพียงความบกพร่องโดยสุจริต หรือมีการ “เจรจาส่วนตัว” เพื่อให้คดีเบาลง และผู้กระทำผิดหลบหนี ซึ่งหากพบพฤติกรรมเช่นนั้น ต้องดำเนินการทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาด
ปารเมศย้ำว่า รัฐบาลต้องปกป้องอาชีพสงวนของคนไทยอย่างจริงจัง คืนศักดิ์ศรีให้มัคคุเทศก์ไทยที่ได้รับผลกระทบจากทุนเถื่อนมานาน เพราะหากรัฐยังเพิกเฉย ทุนต่างชาติจะกลับมาครอบงำระบบท่องเที่ยวอีกครั้ง และเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ชื่อว่า ’การท่องเที่ยวไทย‘ อาจหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
“อย่าให้คดีนี้จบแค่ค่าปรับเป็นพิธี เพราะสิ่งที่สังคมต้องการเห็น ไม่ใช่การลงโทษเพื่อปิดข่าว แต่คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทยในอาชีพที่เรารัก” ปารเมศกล่าวทิ้งท้าย