ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดส่งออกรถไทยทั้งปี 2568 หดตัว 11.7% เหลือ 9 แสนคัน ต่ำสุดในรอบ 4 ปี หลังตลาดหลักออสเตรเลียคาดหดตัวหนัก 16% เหตุปรับเกณฑ์นำเข้ารถยนต์ใหม่คุมการปล่อยก๊าซ CO2 และความปลอดภัยระบบเบรก
หทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ประเมินปริมาณการส่งออกรถยนต์ของไทยในปี 2568 นี้ คาดเหลือ 900,000 คัน โดยสาเหตุหลักมาจากออสเตรเลีย ที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 28% มีการเปลี่ยนมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ ซึ่งรถยนต์ที่ผลิตในไทยบางรุ่นไม่สามารถตอบโจทย์นั้นได้ ทำให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 พบมูลค่าส่งออกไปออสเตรเลียหดตัวถึง 17.3% (YoY) และคาดว่าทิศทางดังกล่าวนี้มีโอกาสดำเนินต่อเนื่องไปจนจบปี 2568
มาตรฐานรถนำเข้าที่เข้มงวด ดันความต้องการ HEV&PHEV เพิ่ม โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 ออสเตรเลียมีการปรับมาตรฐานรถยนต์นำเข้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ได้แก่
- มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) เพื่อคุมจำนวนรถยนต์นำเข้าที่ปล่อยก๊าซ CO2 เกินเกณฑ์มาตรฐานโดยเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ก่อนเก็บค่าปรับจริงตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568
- มาตรฐานความปลอดภัยโดยรถนำเข้าใหม่ต้องติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking: AEB) ที่ผ่านมาตรฐานของออสเตรเลีย เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2568
ส่งผลให้ออสเตรเลียมีการนำเข้ารถยนต์กลุ่มไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพิ่มขึ้น 34.7% (YoY) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ส่งผลดันส่วนแบ่งตลาดนำเข้ารถยนต์ HEV&PHEV ของออสเตรเลีย กลุ่มรถยนต์นั่งขึ้นเป็น 27% และกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์ขึ้นเป็น 10% ตามลำดับ
ในขณะที่รถยนต์ใช้น้ำมัน (ICE) พบนำเข้าลดลง 16.4% (YoY) ส่วนรถยนต์ BEV เนื่องจากปีนี้รัฐบาลท้องถิ่นในรัฐต่าง ๆ เริ่มลดมาตรการส่งเสริมการซื้อ ทำให้การนำเข้าลดลง 24.6% (YoY)
ไทยไม่ได้อานิสงส์ เพราะ HEV ที่ส่งไปบางรุ่นไม่ตอบโจทย์ และปัจจุบันก็ยังไม่มีการส่งออก PHEV
เห็นได้ชัดจากส่วนแบ่งตลาดของไทยที่ลดลงจากปีก่อน 2% ในกลุ่มรถยนต์นั่ง และลดลง 5% ในกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์
ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันสำคัญ 2 เรื่องที่ทำให้ไทยส่งออกรถยนต์ HEV&PHEV ไปออสเตรเลียลดลงถึง 15.1% (YoY) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 สวนทางตลาดออสเตรเลียที่กำลังขยายตัวคือ
- การที่ไทยยังไม่มีการผลิตรถยนต์ PHEV ส่งออกไปต่างประเทศในปีนี้ และ
- รถยนต์ HEV บางรุ่นที่ผลิตจากไทยอาจไม่สามารถตอบโจทย์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลียได้ ซึ่งสถานการณ์เดียวกันนี้พบกับรถยนต์ HEV&PHEV ผลิตส่งออกจากญี่ปุ่น (ประเทศผู้ลงทุนหลักในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย) เช่นกัน ที่ก็มีทิศทางหดตัว 13 8% (YoY)
ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกทั้งจากไทยและญี่ปุ่นดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าการเร่งพัฒนารุ่นรถยนต์ของค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นที่ตอบโจทย์มาตรฐานใหม่ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอาจเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนเสียส่วนแบ่งตลาดเพิ่มให้รถยนต์จากจีน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และแอฟริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันพบออสเตรเลียหันนำเข้าจากประเทศเหล่านี้ทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่มรถยนต์ HEV&PHEV
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อ เนื่องจากมีผลต่อการส่งออกรถยนต์ไทย
- มาตรฐานการปล่อยก๊าซ CO2 ของรถยนต์ส่งออกไปออสเตรเลียเข้มงวดขึ้นทุกปี โดยตั้งแต่ปี 2571 หากวัดด้วยระดับเทคโนโลยีปัจจุบันจะเหลือเพียงรถยนต์ PHEV และ BEV ที่ผ่านเกณฑ์ได้
- ค่ายรถจะหันใช้ไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ HEV&PHEV ส่งไปออสเตรเลียเพิ่มขึ้นหรือจะใช้ฐานผลิตอื่น เช่น
-การผลิตและส่งออกรถยนต์เทคโนโลยีสูงจากญี่ปุ่นอาจเพิ่มขึ้น เพื่อรักษากำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศตนเองก่อน หลังตลาดส่งออกของญี่ปุ่นมีโอกาสเล็กลง เมื่อสหรัฐฯ ที่เดิมเป็นตลาดส่งออกหลักของญี่ปุ่นปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์สูงขึ้นมาก
– ฐานผลิตที่ส่งออกไปตลาดต้องการเทคโนโลยีสูงแบบเดียวกันอย่างอียู เช่น แอฟริกาใต้ ซึ่งมี FTA ร่วมกันกับอียูอยู่ อาจเป็นทางเลือกแรกที่ค่ายรถจะตัดสินใจลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ HEV&PHEV บางรุ่น เพราะสามารถสร้าง economies of scale ได้ง่ายกว่า
ส.อ.ท. หั่นเป้าส่งออกรถยนต์ปีนี้เหลือ 950,000 คัน
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กลุ่มฯ ได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ปี 2568 จาก 1,500,000 คัน เหลือ 1,450,000 คัน หรือคิดเป็นการลดลง 3.33% โดยปรับลดเฉพาะเป้าหมายการผลิตเพื่อการส่งออก จากเดิม 1,000,000 คัน เหลือ 950,000 คัน ลดลง 5% เนื่องจากปัจจัยหลักดังนี้
– ความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบการค้าโลก
– เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ส่งผลต่อกำลังซื้อและยอดขายรถยนต์
– ข้อกำหนดด้านการปล่อยคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้น
– การยุติการผลิตรถยนต์บางรุ่น เพื่อเปลี่ยนไลน์การผลิตสู่รุ่นใหม่
– สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
– การแข่งขันจากรถยนต์ภายในประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังคงติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มการส่งออกอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาทบทวนเป้าหมายตามความเหมาะสมในช่วงครึ่งปีหลัง