วันนี้ (15 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย สิริพงศ์ อังคตสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งแรกว่า ที่ประชุมได้นำเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ 1. ประชาชนทั่วไปสามารถลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
แต่หากเดินทางท่องเที่ยวในเมืองรอง จะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เช่น หากไปใช้จ่ายเมืองรอง 10,000 บาท สามารถมาหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้เม็ดเงินกระจายไปยังเมืองรอง โดยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้รับทราบต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากประชาชน ได้มีข้อเสนอจากภาคเอกชนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่เสนอว่านิติบุคคลสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ ที่พาคนไปเที่ยวเมืองนอก อาจหันกลับมาเที่ยวในประเทศแทน ซึ่งถือเป็นข้อเสนอใหม่จากภาคเอกชน
ขณะที่ภาครัฐเองก็มีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ภาครัฐมีงบประมาณอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ โดยในส่วนของหน่วยงานราชการมีอยู่ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท รัฐวิสาหกิจมีประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบที่ตั้งไว้สำหรับอบรมสัมมนา
ดังนั้น ภาครัฐ ตามปกติจะจัดอบรมสัมมนาในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ คือ ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน แต่ยอดการท่องเที่ยวกำลังทรุดตัวลง ตัวเลขล่าสุดการท่องเที่ยว 8 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายในประเทศติดลบถึงร้อยละ 8
ดังนั้น จะต้องมีการฟื้นเศรษฐกิจไทย ฟื้นการท่องเที่ยวไทย จึงมีนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน ในลักษณะ Front-Loaded จากปกติจะใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 หรือไตรมาสที่ 4 ก็ให้มา Front-Loaded เบิกจ่ายงบประมาณตามกรอบเดิม ต้องเบิกจ่ายให้ได้ภายในเดือนมกราคม 2569 ร้อยละ 60 ของงบฝึกอบรมสัมมนา ซึ่งตรงนี้จะเป็นการกระตุ้นดีมานด์ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ยังมีแพ็กเกจท่องเที่ยวที่ได้กระตุ้นระยะสั้นไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย เรื่องนี้ยังหวังผลในระยะยาวด้วย เนื่องจากรัฐบาลจะมีมาตรการให้โรงแรม หรือที่พักในเมืองรองที่ต้องการปรับปรุงโรงแรมให้น่าอยู่และดึงดูดนักท่องเที่ยว ดังนั้น โรงแรมในเมืองรองต่าง ๆ จะได้ค่าใช้จ่ายหักภาษีได้ถึง 2 เท่า เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโรงแรม
ขณะเดียวกัน ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมจากกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ว่าไม่ใช่แค่การปรับปรุงโรงแรมอย่างเดียว อยากให้เกิดความยั่งยืนด้วย เช่น การติดโซล่าร์เซลล์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายโรงแรม และความยั่งยืนสีเขียวในระยะยาว ขณะเดียวกัน จะมีในเรื่องของบ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้แต่ละโรงแรมมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และมีโรงแรมที่ใหม่ขึ้น คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว มีพลังงานสะอาดใช้ และมีการบำบัดน้ำเสีย
เอกนิติ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมโดยกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิต ได้มีการพูดถึงการลดภาษีของสถานบริการต่าง ๆ ในช่วงนี้ จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 โดยจะประสานกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากสถานบริการของกระทรวงมหาดไทย และกรมสรรพสามิตยังไม่เชื่อมโยงกัน
ดังนั้น จะร่วมมือกันพิจารณาขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่ยังไม่ถูกต้อง และไม่ได้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เข้าระบบอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องมาแอบเปิด เพื่อจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นการกระตุ้นเกิดการค้าต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างคึกคัก รวมเป็นมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นแพ็กเกจที่จะเกิดขึ้น และใช้ได้จนถึงเดือนมีนาคม 2569
เอกนิติ ยังระบุว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งไม่ได้ใช้งบประมาณใหม่ อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งปีที่ผ่านมา อธิบดีกรมบัญชีกลางได้รายงานว่า ผลการเบิกจ่ายปีงบประมาณ 2568 ปรากฏว่ามีงบเบิกจ่ายที่เบิกไม่หมด และขอกันเหลื่อมปีสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 300,000 กว่าล้านบาท ซึ่งมีการเบิกช้ากว่าปกติ เช่น ปกติงบลงทุนเบิกได้ถึงกว่าร้อยละ 70 แต่ปีที่แล้วเบิกได้เพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพการเบิกจ่ายปีที่แล้วไม่ดี แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือมีเหลื่อมมาใช้ในปีนี้ ก็จะทำให้มีเงินเหลือจากปีที่แล้วมาใช้ในปีงบประมาณ 2569 นี้
ดังนั้น จะเร่งประสิทธิภาพการเบิกจ่าย โดยกำหนดว่าใครที่ของบประมาณเหลื่อมจ่ายเข้ามา และมีทีโออาร์เรียบร้อย ต้องให้เบิกจ่ายให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2569 นี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพช่วยเอาเงินเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพมาฟื้นเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน งบปี 2569 ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจมีจำนวนมาก ซึ่งงบประมาณของหน่วยงานที่อนุมัติไปแล้วมีถึง 3.78 ล้านล้านบาท จึงมีการตั้งเป้าและกำหนดการเบิกจ่ายเป็นตัวชี้วัด หรือ KPI ให้หัวหน้าหน่วยราชการ ปีนี้จะต้องเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 93 ของทั้งปีงบประมาณ และงบลงทุนที่เป็นตัวสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจระยะยาว ต้องเบิกจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75
นอกจากนี้ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ นอกจากจะมีตัวชี้วัดแล้ว ต้องติดตามหน่วยงานราชการเป็นรายเดือน เพื่อจะได้อัพเดทข้อมูลและรายงานให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยไหนที่เบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เช่น กระทรวงมหาดไทย ที่นายกรัฐมนตรีดูแลอยู่ก็พบปัญหา รวมถึงกระทรวงคมนาคมที่มีการเบิกจ่ายล่าช้า
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ยังได้พูดคุยถึงแผนงานการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีให้กรอบการทำงานไปแล้ว โดยทุกคนต้องมี Quick Big Win เนื่องจากมีเวลาจำกัด เพราะจะมีการประกาศยุบสภาในเดือนมกราคม เมื่อมีเวลาจำกัดก็จะมีแผนออกมาทุกเดือน โดยจะให้กระทรวงเศรษฐกิจที่มีนโยบาย Quick Big Win ต้องทำให้สั้น ได้ผลยาว และกระจายตัวให้ทั่วถึง และจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในทุกสัปดาห์
ขณะที่ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ว่า นายกรัฐมนตรีได้กำหนดให้ทุกกระทรวงเศรษฐกิจเร่งจัดทำ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแบบ Quick Big Win ทำให้เห็นผลในระยะสั้น แต่ส่งผลยาวและกระจายทั่วถึง โดยให้เชิญภาคเอกชนเข้ามาร่วมให้ข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิด
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าทุกโครงการที่จะใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องจัดทำ การวิเคราะห์ผลตอบแทน (Cost–Benefit Analysis) ควบคู่กัน เพื่อประเมินประสิทธิภาพของงบประมาณ ว่ามีผลดี ผลเสีย และผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศอย่างไร
สำหรับแผนงานเร่งด่วนระยะแรก กระทรวงการคลังจะเสนอแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวเมืองหลัก–เมืองรอง รวมถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนให้โรงแรมและที่พักรีโนเวท ปรับปรุงมาตรฐาน ด้วยวงเงินราว 100,000 ล้านบาท ผ่านธนาคารออมสิน โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน
ขณะที่สัปดาห์ถัดไป กระทรวงพลังงานจะเสนอแผนลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ตามด้วยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะนำเสนอแนวทางลดค่าครองชีพและกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปี
สิริพงศ์ระบุว่า มาตรการทั้งหมดในระยะนี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว ร้อยละ 0.4 ของจีดีพี พร้อมแจ้งว่า ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 จะไม่มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีติดภารกิจการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย