×

3 นักเศรษฐศาสตร์ คว้าโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2025 จากผลงานอธิบาย ‘การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม’

14.10.2025
  • LOADING...
nobel-economics-2025-mokyr-aghion-howitt-innovation

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 The Royal Swedish Academy of Sciences ได้ประกาศมอบรางวัล the Sveriges Riksbank Prize ในสาขาเศรษฐศาสตร์ เพื่อรำลึกถึงอัลเฟรด โนเบล ประจำปี 2025 ให้แก่ โจเอล โมเคียร์ (Joel Mokyr), ฟิลิปป์ อากียง (Philippe Aghion) และ ปีเตอร์ ฮาววิตต์ (Peter Howitt) จากผลงานการอธิบาย ‘การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม’

 

โดยครึ่งหนึ่งมอบให้แก่ โจเอล โมเคียร์ (Joel Mokyr) มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น, เอแวนสตัน, อิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา และคณะเศรษฐศาสตร์ Eitan Berglas มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ, อิสราเอล จากการศึกษา ‘บทบาทในการระบุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี’

 

และอีกครึ่งหนึ่งมอบร่วมกันให้แก่ ฟิลิปป์ อากียง (Philippe Aghion) กอแลฌเดอฟร็องส์ (Collège de France) และสถาบันบริหารธุรกิจอินซีด (INSEAD), ปารีส, ฝรั่งเศส, และวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (The London School of Economics and Political Science), สหราชอาณาจักร และ ปีเตอร์ ฮาววิตต์ (Peter Howitt) มหาวิทยาลัยบราวน์, พรอวิเดนซ์, โรดไอแลนด์, สหรัฐอเมริกาจาก ‘ทฤษฎีการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์’

 

เทคโนโลยีใหม่ขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนได้อย่างไร?

 

เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อทุกคน ด้วยผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตใหม่ๆ ที่เข้ามาแทนที่ของเก่าในวงจรที่ไม่สิ้นสุด เป็นพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้มาตรฐานการครองชีพ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกดีขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป ตรงกันข้ามกลับเกิด ‘การหยุดชะงัก’ (Stagnation) ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเกือบตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แม้จะมีการค้นพบที่สำคัญเป็นครั้งคราว ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และรายได้ที่สูงขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วการเติบโตก็มักจะหยุดชะงักลงเสมอ

 

กระนั้น  สิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเริ่มต้นที่อังกฤษแล้วขยายไปยังประเทศอื่นๆ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ก่อให้เกิดวงจรของนวัตกรรมและความก้าวหน้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งๆ ไป สิ่งนี้นำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคงอย่างน่าทึ่ง

 

โดยโจเอล โมเคียร์ ได้ใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้ ‘การเติบโตอย่างยั่งยืนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่’ โมเคียร์ ชี้ให้เห็นว่า หากจะให้นวัตกรรมเกิดขึ้นสืบต่อกันไปในกระบวนการที่ขับเคลื่อนตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ต้องไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าบางสิ่งใช้งานได้ แต่ยังต้องมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นด้วย ซึ่งสิ่งหลังนี้มักขาดหายไปก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้การต่อยอดจากองค์ความรู้และการประดิษฐ์คิดค้นใหม่ๆ เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ โมเคียร์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของสังคมที่เปิดรับแนวคิดใหม่และยอมรับการเปลี่ยนแปลง

 

ฟิลิปป์ อากียง และ ปีเตอร์ ฮาววิตต์ ก็ได้ศึกษากลไกเบื้องหลังการเติบโตอย่างยั่งยืนเช่นกัน ในบทความเมื่อปี 1992 ทั้งคู่สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับสิ่งที่เรียกว่า ‘การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์’ (Creative Destruction)  เมื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีกว่าเข้าสู่ตลาด บริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าจะสูญเสียส่วนแบ่งไป นวัตกรรมนั้นเป็นตัวแทนของสิ่งใหม่จึงมีลักษณะ ‘สร้างสรรค์’ แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะ ‘ทำลายล้าง’

 

ด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน ผู้ได้รับรางวัลได้แสดงให้เห็นว่าการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ต้องได้รับการจัดการอย่างสร้างสรรค์ มิฉะนั้น นวัตกรรมจะถูกขัดขวางโดยบริษัทเดิมและกลุ่มผลประโยชน์ที่เสี่ยงต่อการเสียเปรียบ

 

จอห์น แฮสส์เลอร์ (John Hassler) ประธานคณะกรรมการรางวัลสาขาเศรษฐศาสตร์กล่าว “ผลงานของผู้ได้รับรางวัลแสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองได้โดยอัตโนมัติ เราต้องรักษากลไกที่อยู่เบื้องหลังการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ไว้ เพื่อที่เราจะไม่ถอยกลับไปสู่ภาวะหยุดนิ่งอีกครั้ง” 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising