ในขณะที่หลายชาติยังคงลงสนามต่อสู้แย่งชิงตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายอย่างดุเดือด ขณะที่เส้นทางสู่ทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกก็เหลือเวลาอีกราว 8 เดือนเท่านั้น ก่อนเสียงนกหวีดแรกจะดังขึ้น
แม้ จานนี อินฟานติโน ประธานฟีฟ่า จะยืนยันมาตลอดว่า “โลกทั้งโลกจะได้รับการต้อนรับ” ในฟุตบอลโลก 2026 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมกับแคนาดาและเม็กซิโก แต่ยิ่งนับถอยหลังสู่วันแข่งขัน คำมั่นสัญญานี้ก็ยิ่งถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกันนั้น รายงานจากสื่อต่างประเทศก็สะท้อนถึงปัญหาที่เริ่มก่อตัว ไม่ว่าจะเป็นราคาตั๋วที่พุ่งสูงลิ่ว, กระบวนการขอวีซ่าที่ซับซ้อน ไปจนถึงประเด็นความปลอดภัยที่สร้างความกังวลในหมู่แฟนบอลทั่วโลก
บททดสอบที่แท้จริงของฟุตบอลโลก 2026 จึงอาจไม่ได้อยู่แค่ในสนามแข่งขัน แต่ยังรวมถึงความท้าทายนอกสนามที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
🎟️ ราคาตั๋วแพงระยับ กระทบแฟนบอล
การเปิดขายตั๋วล็อตแรกของฟุตบอลโลก 2026 กลายเป็นประเด็นร้อนทันที เพราะราคาสูงเกินคาด โดยตั๋วแมตช์เปิดสนามในสหรัฐฯ ถูกตั้งไว้ระหว่าง 560-2,235 ดอลลาร์ (ราวๆ 18,000 – 73,000 บาท)
ในขณะที่ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ราคาอยู่เพียง 55-618 ดอลลาร์เท่านั้น หมายความว่าตั๋วรอบแบ่งกลุ่มที่เคยถูกที่สุด ก็ยังแพงขึ้นกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับครั้งก่อน
สำหรับรอบชิงชนะเลิศ ราคาก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยตั๋วถูกสุดเริ่มที่ 2,030 ดอลลาร์ และแพงสุดแตะระดับ 6,000 ดอลลาร์ หากเป็นตั๋วรีเซลในตลาดรอง ซึ่งยังไม่รวมตั๋ว Hospitality ที่จะมีราคาสูงยิ่งกว่า
สิ่งที่เพิ่มความกังวลคือระบบ ‘Dynamic Pricing’ ที่ฟีฟ่านำมาใช้ ทำให้ราคาตั๋วสามารถปรับขึ้นลงตามความต้องการ หากเป็นเกมใหญ่หรือได้รับความนิยม ราคาสามารถพุ่งสูงขึ้นอีกหลายร้อยดอลลาร์ทันที ระบบนี้อาจเป็นข้อได้เปรียบของแฟนบอลท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่สามารถรอซื้อช่วงใกล้แข่ง แต่กลับกลายเป็นการกีดกันแฟนบอลต่างชาติที่ต้องวางแผนการเดินทางและซื้อตั๋วล่วงหน้า
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน การเดินทางภายในประเทศที่ระยะทางไกล และค่าที่พักที่คาดว่าจะพุ่งสูงช่วงทัวร์นาเมนต์ ทริปนี้แทบกลายเป็น ภาระทางการเงินมหาศาล สำหรับแฟนบอลส่วนใหญ่ และอาจถูกจดจำว่าเป็นฟุตบอลโลกที่ “แพงที่สุดในประวัติศาสตร์”
🛂 ปัญหาวีซ่า & การตรวจคนเข้าเมือง แฟนบอลหลายชาติเสี่ยงอดดู
หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ การเดินทางเข้า-ออกสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างจากฟุตบอลโลกที่รัสเซียและกาตาร์เคยจัด โดยทั้งสองเจ้าภาพทำระบบเร่งรัดวีซ่าเพื่อเอื้อให้แฟนบอลเดินทางได้สะดวก
แต่สหรัฐฯ ไม่มีมาตรการพิเศษลักษณะนั้น แฟนบอลจากหลายทวีป โดยเฉพาะเอเชีย, แอฟริกา และอเมริกาใต้ ต้องเข้าสู่กระบวนการปกติที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน บางประเทศรอคิวสัมภาษณ์วีซ่านานกว่าหนึ่งปี ขณะเดียวกันรัฐบาลทรัมป์ยังเพิ่มการตรวจสอบเข้มงวด ทั้งโซเชียลมีเดียและประวัติทางการเมือง ทำให้เสี่ยงต่อการไม่ได้รับอนุมัติทันก่อนทัวร์นาเมนต์
และแม้จะผ่านด่านเข้าประเทศมาได้ แต่การอยู่ต่อในสหรัฐฯ ก็ไม่ง่าย หลังจากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) เดินหน้าปฏิบัติการบุกจับกุมและเนรเทศผู้คนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก เช่น ลอสแอนเจลิส และชิคาโก ยิ่งสร้างบรรยากาศหวาดระแวง
ตัวอย่างที่เห็นชัดคือในศึกคลับเวิลด์คัพ (ชิงแชมป์สโมสรโลก) ที่ผ่านมา ICE ถึงขั้นโพสต์บน X ว่าเจ้าหน้าที่ “พร้อมเต็มสูบเพื่อดูแลความปลอดภัย” พร้อมแนะนำผู้เข้าชมให้พกเอกสารยืนยันสถานะทางกฎหมายติดตัว แม้ภายหลังจะลบโพสต์ไป แต่ก็เพียงพอจะสร้างความกังวลจนแฟนบอลหลายคนตัดสินใจไม่เดินทาง
หากสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไปในปีหน้า อาจทำให้แฟนบอลจำนวนไม่น้อยทั่วโลกเลือกที่จะไม่มาเชียร์ทีมรักในศึกฟุตบอลโลก 2026 ทั้งๆ ที่ควรเป็นเทศกาลกีฬาที่เปิดต้อนรับคนทั้งโลก
🔫 ความปลอดภัยภายใต้เงาแห่งความรุนแรง
สถานการณ์ความรุนแรงในสหรัฐฯ กลายเป็นอีกประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล ตามข้อมูลจาก BBC เปิดเผยว่าในปี 2024 มีเหตุกราดยิงกว่า 500 ครั้ง และในปี 2025 ก็เกิดการลอบสังหารทางการเมืองหลายครั้ง ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสั่งส่งกองกำลัง National Guard ลงพื้นที่เมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงลอสแอนเจลิส หนึ่งในเจ้าภาพฟุตบอลโลก
มาตรการดังกล่าวไม่เพียงก่อให้เกิดการประท้วง แต่ยังสร้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยของแฟนบอลและนักท่องเที่ยว ท่ามกลางประเทศที่การเข้าถึงอาวุธปืนง่ายกว่าหลายชาติทั่วโลก
🌲ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ด้านสิ่งแวดล้อม ก็อาจจะเจอปัญหาก็หนักไม่แพ้กัน เพราะเกมจะกระจายไปทั่ว 3 ประเทศใหญ่ของอเมริกาเหนือ แฟนบอลและทีมต้องพึ่งการบินเป็นหลัก เช่น ทีมชาติสหรัฐฯ ที่ต้องเล่นเกมแรกที่ลอสแอนเจลิส นัดสองที่ซีแอตเทิล ก่อนกลับมาแข่งที่ลอสแอนเจลิสอีก รวมระยะทางกว่า 2,000 ไมล์ในเวลาไม่กี่วัน
ระบบขนส่งสาธารณะยังไม่เอื้อ เช่น AT&T Stadium ในดัลลัสที่เป็นเจ้าภาพมากที่สุด แต่กลับไม่มีรถไฟหรือระบบสาธารณะเข้าถึง ต้องพึ่งรถยนต์เช่าและบริการ ride-sharing ซึ่งยิ่งทำให้มลพิษและการจราจรแย่ลง จนมีการคาดว่านี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกที่สร้างมลพิษมากที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความกังวลที่ก่อตัวรอบด้าน จานนี อินฟานติโน ในฐานะประธานฟีฟ่า ยังคงย้ำว่าสหรัฐฯ จะต้อนรับแฟนบอลจากทั่วโลกอย่างราบรื่น แม้จะไม่ได้อธิบายชัดเจนว่ากระบวนการตรวจคนเข้าเมืองจะถูกจัดการอย่างไร
ขณะที่ ไบรอัน สวอนสัน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อของฟีฟ่า ก็ออกมาปกป้องโครงสร้างราคาตั๋ว โดยระบุว่าเป็นโมเดลที่สะท้อนความรับผิดชอบในการเปิดโอกาสให้แฟนบอลเข้าถึง และการสร้างมูลค่าเพื่อกระจายสู่การพัฒนาฟุตบอลทั่วโลก
ในอีกด้าน กลุ่มสิทธิมนุษยชนกว่า 90 องค์กรได้ร่วมกันลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงฟีฟ่า เรียกร้องให้หันมาจัดการกับปัญหาการละเมิดสิทธิที่ทวีความรุนแรงขึ้นในสหรัฐฯ แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรมจากฟีฟ่า
ท้ายที่สุด สิ่งที่ทั่วโลกต้องจับตามองคือ เจ้าภาพและฟีฟ่าจะสามารถหาทางออกเพื่อคลายความกังวลให้แฟนบอลได้เพียงใด ก่อนที่มหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจะเปิดฉากขึ้นในเดือนมิถุนายน 2026
อ้างอิง: