วันนี้ (12 ตุลาคม) ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ พรรคประชาชน เปิดเผยว่า จากน้ำเป็นพิษสู่มนุษย์ ตรวจพบสารหนูในคนพื้นที่ใช้น้ำกก-สาย ค่าสารหนูเกินเกณฑ์ ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลเชื่องช้า รองนายกรัฐมนตรี 2 คน ลงพื้นที่แต่ไม่พูดถึงปัญหา ต้องให้หนักขึ้นอีกเท่าไหร่ ถึงจะทำงานเป็น
ภัทรพงษ์ระบุว่า จากที่ได้ติดตามปัญหาน้ำกก-สาย-รวกเป็นพิษอย่างใกล้ชิด และได้สื่อสารไปยังรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง ทั้งชุดที่แล้วและชุดนี้ ตั้งแต่พื้นที่ทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แนวทางการเจรจากับต่างประเทศ การจัดการกับผลกระทบภายในประเทศ
“แต่ที่ผ่านมากลับมีการดำเนินการจากรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับความรุนแรงของปัญหา ที่นอกจากปัจจุบัน พบประปาหมู่บ้านในพื้นที่น้ำกก-สายเป็นพิษจากตะกั่วไปแล้ว 18 หมู่บ้าน ล่าสุดผลการตรวจปัสสาวะคนในพื้นที่พบสารหนูในคนเกินเกณฑ์ อีกถึง 7 ราย”
ภัทรพงษ์เปิดเผยว่า การตรวจปัสสาวะโดยกรมควบคุมโรคครั้งนี้ เป็นการตรวจคนในพื้นที่ใช้น้ำกก-สาย 322 คนในจังหวัดเชียงราย และ 40 คนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้ง 7 รายที่ตรวจพบค่าสารหนูเกินเกณฑ์ (100 ug/L) แบ่งเป็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายทั้งหมด อำเภอเมือง 3 คน อำเภอเวียงชัย 2 คน เวียงเชียงรุ้ง 1 คน และอำเภอเชียงแสน 1 คน
ภัทรพงษ์เสนอว่า สิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินการ ด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมจากตรวจพบสารหนูเกินเกณฑ์ครั้งนี้คือ
- ตรวจสารหนูให้ละเอียดว่า เป็นสารหนูอนินทรีย์เท่าไรจากสารหนูทั้งหมด
- เจาะเลือดตรวจร่างกายโดยละเอียดเพิ่ม เพื่อตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด
- ปรับเกณฑ์การกรองคนเพื่อเข้าตรวจปัสสาวะตามพฤติกรรมอื่น ๆ ของทั้ง 7 รายนี้เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น
- ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยโรคที่ต้องเฝ้าระวังจากน้ำปนเปื้อนสารโลหะหนัก พร้อมนำพื้นที่เหล่านี้เข้าเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมด้วย
“นี่คือปัญหาที่เร่งด่วน ต้องจัดการโดยเร็วที่สุด บูรณาการการทำงานร่วมกันจากทุกกรม ทุกกระทรวง แต่ที่ผ่านมา 1 ปีการทำงานของรัฐบาลทุกชุดยังคงละเลยต่อปัญหานี้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่แม่น้ำเป็นพิษ ไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงการกินปลา แต่มันลุกลามมาถึงน้ำประปาหมู่บ้านที่ประชาชนใช้ ผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้น้ำเหล่านี้ และสะท้อนออกมาจากสุขภาพและชีวิตของประชาชนอย่างชัดเจนแล้ว”
ภัทรพงษ์ย้ำว่า จะติดตามปัญหานี้อย่างใกล้ชิด และดูการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ (14 ตุลาคม) อย่างละเอียด ว่ารัฐบาลจะเริ่มทำงานกับเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้วหรือไม่ ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาที่ต้นตอกับต่างประเทศ และการจัดการปัญหาภายในประเทศ