วันนี้ (8 ตุลาคม) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยความคืบหน้าการเตรียมชำระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังศาลปกครองมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ชำระหนี้ในคดีที่สอง โดยระบุว่า กทม. อยู่ระหว่างการนำเงินสะสมจ่ายขาดมาชำระหนี้รวมเป็นจำนวนประมาณ 32,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้
ชัชชาติกล่าวว่า การชำระหนี้ครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานโครงการอื่นๆ ของ กทม. เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายจากเงินสะสมจ่ายขาดที่ไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งหลังการชำระหนี้แล้วยังคงเหลือเงินสะสมอีกประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท
ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากหากล่าช้า กทม. จะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยในอัตราสูง (MLR +1) ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก ทำให้ต้องรีบจัดการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น และยืนยันว่าเมื่อศาลมีคำสั่งแล้ว กทม. จำเป็นต้องปฏิบัติตามเพื่อยุติปัญหา
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่าปัจจุบัน กทม. มีภาระต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท แต่สามารถจัดเก็บค่าโดยสารได้เพียงประมาณ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น แม้เรื่องค่าโดยสารจะไม่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้โดยตรง แต่ส่วนต่างที่ต้องนำมาใช้ชดเชยถือเป็นเงินภาษี ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมต่อประชาชนที่ไม่ได้ใช้บริการ
ด้วยเหตุนี้ กทม. จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับโครงสร้างค่าโดยสารใหม่เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยคาดว่าราคาจะไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย อย่างไรก็ตาม อัตราค่าโดยสารบางช่วงอาจถูกลง เช่น เส้นทางสั้นๆ ภายในเมือง
ขณะที่ผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะทาง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียด ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยืนยันว่าการบริหารจัดการเรื่องนี้จะเป็นไปอย่างโปร่งใส บนพื้นฐานของความเป็นจริง และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญที่สุด