ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญแรงกดดันรอบด้านจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งส่งผลลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ส่งผลให้มุมมองของประเทศจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศอย่าง Fitch Ratings มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและฐานะการคลังของไทย ดังนั้นจึงได้ประกาศปรับมุมมองของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” แม้จะยังคงยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือ (BBB+) ไว้เช่นเดิมก็ตาม
แม้การปรับมุมมองดังกล่าวมีผลมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับครั้งนี้ คือ หนี้สาธารณะของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังช่วง โควิด-19 อันเป็นผลจากการที่ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบาย เช่น การแจกเงิน และ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าการใช้จ่ายในระดับที่สูงกว่ารายได้ ส่งผลให้เกิดการขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนี้สาธารณะของไทยปรับเพิ่มขึ้นมาจากราว 40% สู่ระดับ 59.4% ของ GDP ในเดือน สิงหาคม 2568 ขณะที่ Fitch คาดว่าตัวเลขดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นสู่ระดับ 65% ในอนาคต ซึ่งสูงกว่าที่เคยมองไว้ในปีที่แล้วว่าจะอยู่ในระดับเพียง 61.8% ในปี 2571 จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการปรับมุมมองในครั้งนี้
ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของไทยเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ถูกจับตามอง โดย Fitch คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศที่มีระดับความน่าเชื่อถือ BBB โดยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่เมื่อมองไปข้างหน้า การส่งออกเผชิญความท้าทายจากภาษีการค้าสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้การค้าโลกหดตัวลง ในขณะที่การท่องเที่ยวไทยเริ่มอิ่มตัว เติบโตได้ช้าลงเมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเข้าใกล้จุดสูงสุดช่วงก่อนโควิด-19 และนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลง นอกจากนั้นการเมืองภายในประเทศยังประสบกับความไม่แน่นอนซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อทั้งการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติม
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทันที เนื่องจากยังมีความแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง โครงสร้างหนี้ที่มั่นคง ซึ่งหนี้เกือบทั้งหมดเป็นสกุลบาท อายุเฉลี่ยยาว และภาระดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศ BBB อื่นๆ อย่างไรก็ดี การส่งสัญญาณเตือนครั้งนี้ถือเป็นข้อความสำคัญให้แก่ภาครัฐ ที่จะต้องกลับมาพิจารณาถึงความเหมาะสมของแผนการคลังระยะปานกลาง ที่เคยมองการเพิ่มหนี้สาธารณะไว้สูงถึง 69.3% ในปี 2572
ในระยะข้างหน้า ประเทศไทยยังคงต้องจัดการกับความท้าทายเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้แก่ ความล่าช้าในการควบคุมการขาดดุลงบประมาณจนทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัญหาการเมืองที่กระทบต่อการท่องเที่ยว และการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าคาดเป็นเวลานาน
หากพิจารณาผลกระทบต่อการลงทุนตราสารหนี้ เราประเมินว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยอาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไปสู่ระดับ BBB (จากระดับปัจจุบันที่ BBB+) พันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน (Investment Grade) ดังนั้นความผันผวนที่จะเกิดขึ้นต่อพันธบัตรรัฐบาลไทย มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น อย่างไรก็ดี ในระยะยาวพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงมีแรงสนับสนุนจากทั้ง ความสามารถในการชำระหนี้ที่ยังคงแข็งแกร่ง โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง และสภาพคล่องในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะสามารถสนับสนุนการลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติได้ โดยปัจจุบัน การถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ดังนั้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงมีความน่าสนใจในระยะข้างหน้า
ภาพ: Nuthawut Somsuk/Getty Images