ภาพของสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ที่ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงชูบทบาทของไทยบนเวทีประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 80 (UNGA80) ไปพร้อมกับพยายามรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะในประเด็นพิพาทชายแดนกัมพูชา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ ‘ยุทธศาสตร์การทูต’ และการเดินหน้าปรับแนวทางการทูตใน ‘เชิงรุก’ เพื่อให้ไทยกลับมาอยู่ในเรดาร์โลกอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ขัดแย้งและแบ่งขั้ว
การประกาศสนับสนุนระบบพหุภาคีอย่างชัดเจนบนเวที UN ซึ่งเป็นสนามหลักในการกำหนดทิศทางการเมืองโลก ถือเป็นก้าวแรกที่มีความสำคัญสำหรับไทย แต่ภารกิจที่ท้าทายและยังคงต้องเดินหน้าต่อเนื่อง คือการมีบทบาทนำต่อสถานการณ์ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะสถานการณ์ใกล้บ้าน เช่น วิกฤตสู้รบในเมียนมา ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภารกิจการทูตเชิงรุกที่สีหศักดิ์เน้นย้ำ จะส่งเสริมศักยภาพและผลประโยชน์ของไทยในโลกยุคหลายขั้วได้มากน้อยแค่ไหน และไทยจะกลับมายืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างองอาจอีกครั้งหรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ต้องรอการพิสูจน์ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการเริ่มต้น ‘ปรับเข็มทิศการทูตใหม่’ อาจจะเป็นโอกาสให้ไทยสามารถผลักดันบทบาทและผลประโยชน์ของชาติได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มากกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สีหศักดิ์กับ ‘การทูตเชิงรุก’
เสกสรร อานันทศิริเกียรติ ที่ปรึกษาสมาคมภูมิภาคศึกษา ชี้ว่า สีหศักดิ์ ซึ่งเป็นนักการทูตมืออาชีพที่ทำงานกับกระทรวงการต่างประเทศมายาวนาน มีแนวคิดผลักดัน ‘การทูตเชิงรุก’ (Proactive Diplomacy) มาโดยตลอด โดยบทบาทในการกล่าวถ้อยแถลงของเขาบนเวที UNGA นั้นเรียกได้ว่า ‘น่าพอใจและน่าชื่นชมอย่างยิ่ง’ ใน 2 ส่วนหลัก
ส่วนแรกคือ การต่างประเทศที่ต้องปกป้องศักดิ์ศรีและอธิปไตยของไทย ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่สามารถชี้แจงได้อย่างหมดจด ไร้ข้อกังขา โดยอ้างอิงข้อเท็จจริง และไม่มีการใช้อารมณ์ เป็นไปตามบรรทัดฐานทางการทูตที่ถูกต้องที่ไทยเราเคยทำมาตลอด
ส่วนที่สองคือ การคำนึงถึงความกังวลภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขารับฟังเสียงของคนไทยที่กังวลว่า ที่ผ่านมาไทยหายไปจากจอเรดาร์โลกมากพอสมควร จึงใช้โอกาสนี้เพื่อคลี่คลายความกังวลนั้น
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การทูตเชิงรุก นอกจากการมีบทบาทรอบทิศทางแล้ว ยังต้องตอบโจทย์การบริหารจัดการภายในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน” เขากล่าว
การทูตเชิงรุกโต้กัมพูชา ‘จำเป็นและเหมาะสม’
ทางด้าน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อบทบาทการทูตเชิงรุกของสีหศักดิ์ ในการตอบโต้ท่าทีของกัมพูชาที่พยายามกล่าวหาและยกระดับความขัดแย้งชายแดนจากเวทีทวิภาคีไปสู่พหุภาคี ทั้งการนำเรื่องเข้าสู่ UNSC การส่งหนังสือถึง UNGA หรือแม้แต่การแสดงเจตจำนงต่อศาลโลกโดยมองว่า เมื่อพัฒนาการของสถานการณ์เริ่มไปไกล การเลือกเดินเกมเชิงรุกบนเวทีโลกของไทยก็เป็นสิ่งที่ ‘จำเป็นและเหมาะสม’
“การที่สีหศักดิ์ เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นผลงานแรกก็ได้ ที่มุ่งไปเป็นเรื่องของการทูตเชิงรุก ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี และเป็นการเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายที่ดี ซึ่งในกรณีกัมพูชานั้น ความเสี่ยงสำหรับสถานการณ์ขัดแย้งยังไม่ปรากฏแน่ชัด เนื่องจากยังมองไม่เห็นนโยบายหรือกลยุทธ์ใหม่ๆ อีกทั้ง ณ วันนี้สถานการณ์ยังค่อนข้างเดินหน้าไปได้ตามที่ไทยและกัมพูชาได้ตกลงกันไว้แล้วในกรอบ GBC แต่โจทย์หลักๆ คือเรื่องความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจะทำอย่างไรให้กัมพูชาปฏิบัติตามสิ่งที่ตกลงด้วยความจริงใจ” เขากล่าว และชี้ว่า “จุดที่น่าสนใจก็คือ ในการประชุม UNGA ครั้งนี้ เห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชายังไม่มีความจริงใจเลย”
ดร.ภัทรพงษ์ ชี้ว่าเนื้อหาในถ้อยแถลงของกัมพูชาบนเวที UNGA ยังมีประเด็นที่มีนัยสำคัญในทางกฎหมายระหว่างประเทศและกระทบเรื่องสิทธิเรื่องอธิปไตยของไทย ก็คือกรณีของบ้านหนองจาน ซึ่งกัมพูชาพยายามอ้างว่าฝ่ายไทยละเมิดอธิปไตยและใช้กำลังยึดครองพื้นที่
กรณีนี้เขามองว่า ไทยจำเป็นที่จะต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด ซึ่งสีหศักดิ์ ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า บ้านหนองจานนั้นอยู่ในอธิปไตยของไทย และเน้นย้ำว่า Full Stop หรือจบในประเด็นนี้อย่างชัดเจน “การที่ผู้แทนของไทยนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วกัมพูชามาประกาศต่อนานาประเทศประชาคมโลกว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของไทย ถ้าไม่แก้เนี่ย มันเหมือนกับเรายอมรับไปโดยปริยาย เพราะฉะนั้น ไอ้การแก้ต่างในประเด็นเนี้ยอย่างชัดเจน แล้วก็ตรงไปตรงมา หรือพูดง่ายๆ ว่า Full Stop นั้น เป็นสิทธิ์ที่ต้องทำ ถ้าจะมีคนไปตีความว่า นี่เป็นการชวนทะเลาะ หรือทำให้ปัญหามันหนักขึ้นไปหรือไม่ ในแง่กฎหมายนั้นต้องทำ มิฉะนั้นมันจะเหมือนกับว่าไทยเรานั่งอยู่ แล้วเราไม่ได้โต้แย้งอะไร เราไปยอมรับในข้อกล่าวหาของกัมพูชา เพราะฉะนั้นผมคิดว่าทำได้ถูกแล้ว” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว
ขณะที่เขาตีความสิ่งที่อาจเป็นกลยุทธ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศ คือการใช้เทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายกัมพูชา เพื่อตอบโต้เรื่องเล่าของฝ่ายกัมพูชาที่พยายามนำเสนอว่าตนเองเป็นประเทศเล็ก เป็นเหยื่อและโจมตีฝ่ายไทยว่าเลือกที่จะใช้กำลังทหารยึดดินแดนฝ่ายกัมพูชา โดยสีหศักดิ์ใช้ ‘Truth’ หรือ ‘ความจริง’ เช่น ในกรณีของบ้านหนองจาน ที่ไทยเปิดพื้นที่รับผู้อพยพจากกัมพูชาในช่วงสงครามกลางเมืองด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ซึ่งเขายืนยันด้วยเครดิตของตัวเองว่าได้ไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงด้วยตาของตัวเองหลังจากเข้าทำงานในกระทรวงฯ ได้ไม่นาน
หรือการที่เปิดโปงว่าฝ่ายกัมพูชากลับคำพูดในการแถลงบนเวที ทั้งที่วันก่อนหน้าเพิ่งประชุม 4 ฝ่าย ร่วมกับมาเลเซียและสหรัฐฯ ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธไม่ได้ในประเด็นนี้ เพราะมาเลเซียกับสหรัฐฯ ก็นั่งเป็นประจักษ์พยานอยู่ในการประชุม
ไทยต้องยืนหยัดในพหุภาคี
ประเด็นการแสดงจุดยืนสนับสนุนระบบพหุภาคีในถ้อยแถลงของสีหศักดิ์นั้น เกิดขึ้นท่ามกลางระเบียบโลกที่ปั่นป่วนในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ถูกมองว่าพยายามถอยห่างจากพหุภาคีมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม เสกสรรมองว่า กลไกของเวทีพหุภาคีที่สำคัญอย่าง UN จะ ‘ยิ่งจำเป็นและมีความสำคัญ’ ในโลกที่อำนาจนิยมกำลังเป็นใหญ่ และมหาอำนาจมองข้ามกฎระเบียบ ซึ่งประเทศที่เหลือรวมถึงไทย จะต้องลุกขึ้นมายืนยันว่า “ไม่ต้องการโลกที่อำนาจนิยมเป็นใหญ่” เพราะโลกแบบนี้มีแต่ทำให้ประเทศขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดเสียผลประโยชน์ และกระทบต่อความมั่นคง ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้
โดยแม้ว่า กลไกความร่วมมือพหุภาคีอย่าง UN ตลอดจนอนุสัญญาและสนธิสัญญาต่างๆ จะมีข้อจำกัดในการเข้าไปแก้ไขปัญหาโดยตรง แต่ท้ายที่สุดการมีกลไกเหล่านี้อยู่ จะเป็น ‘ตัวช่วยรั้ง’ ไม่ให้มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เช่น กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ซึ่งมีอนุสัญญาเจนีวาที่ห้ามโจมตีเป้าหมายพลเรือน รวมถึงอนุสัญญาออตตาวาที่กำกับเรื่องทุ่นระเบิด
“ถ้ายิ่งไม่มีกลไกพหุภาคีเหล่านี้ก็จะยิ่งยากลำบาก ทุกคนจะอยากทำอะไรตามใจตัวเอง เป็นโลกที่ไร้ระเบียบ” เขากล่าว
ขณะที่เขาชี้ว่า ถ้อยแถลงของสีหศักดิ์ ที่ระบุว่าต้องเสริมพลังให้องค์กรระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหา จะเป็นการเสริมสร้างฐานของพหุภาคีนิยมให้เข้มแข็งมากขึ้น เพราะ UN นั้นอาจไม่สามารถเข้าถึงทุกประเด็นปัญหาในโลกได้
ไทยควรชูธงนำ แก้ปัญหาสแกมเมอร์
ถ้อยแถลงของสีหศักดิ์ ยังระบุถึงหนึ่งในปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญและมีต้นตออยู่ใกล้ไทย คือกรณี Scammer หรือปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยดร.ภัทรพงษ์ เสนอว่าไทยควรเดินหน้า ‘ปักธง’เป็นผู้นำโลกในการแก้ไขปัญหานี้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างไทย กับกัมพูชา หรือเมียนมา แต่เป็นปัญหาระดับโลกที่เชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ เครือข่ายอาชญากรรม และการฟอกเงิน
“ผมคิดว่าประเด็นเรื่องแก๊ง Call Center หรือเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยเราน่าจะไปปักธงเลยว่า เราอยากเป็นผู้นำในการแก้ปัญหานี้ในระดับโลก เพราะเรื่อง นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของไทย เมียนมา กัมพูชาแล้ว มันคือเรื่องระดับโลก ในรายงานของ UNODC ระบุว่าปัญหานี้เป็นปัญหาระดับโลก เพราะเหยื่อที่ถูกหลอกลวง ถูกค้ามนุษย์และบังคับทำงานนั้นมาจากทั่วโลก”
“สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ถึงจะแก้ปัญหานี้ในเมียนมาและกัมพูชาได้ แต่ถ้าแก้ได้ไม่เด็ดขาด ขบวนการอาชญากรเหล่านี้ก็จะหลบหนีและโยกย้ายไปยังประเทศอื่น เช่น ตอนนี้เริ่มมีข่าวแล้วว่าเริ่มย้ายไปติมอร์-เลสเตแล้ว ซึ่งหมายความว่า ถ้าหากทั้งโลกไม่ช่วยกันปัญหานี้ก็จะค่อย ๆ คืบคลานไปยังภูมิภาคอื่นๆ หรือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ดังนั้นไทยเราเองน่าจะเข้าไปชิงบทบาท ปักธงเลยว่าเราอยากมีบทบาทนำในเรื่องนี้” เขากล่าว