×

‘ศุภวุฒิ’ ชี้ทุนสำรองฯ ไทยสูงเกินไป ไม่เกิดประโยชน์ ชงตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’

01.10.2025
  • LOADING...
swf-propose-bot-response-reserve-fund

‘ศุภวุฒิ’ ชี้ทุนสำรองฯ ไทยสูงเกินไป ไม่เกิดประโยชน์ ชงตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’ ด้านแบงก์ชาติตอบ ไม่ได้ขวางตั้ง ‘กองทุนมั่งคั่ง’ แต่ย้ำต้องรอบคอบ โปร่งใส และศึกษาถี่ถ้วน

 

เมื่อวันที่ 30 กันยายน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานกรรมการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ปัจจุบัน ทุนสำรองที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สูงเกินไป โดยอยู่ที่ 9 ล้านล้านบาท และเป็นทุนสำรองฯ ที่เก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกนำเงินทุนสำรองมาจัดตั้งเป็น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund)

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ วันที่ 26 กันยายน 2025 ระบุว่า เงินสำรองระหว่างประเทศ (Net International Reserve) อยู่ที่ 9,419,204 ล้านบาท 

 

ดร.ศุภวุฒิ ยกกองทุน ‘GIC’ ของสิงคโปร์ ที่จัดตั้งในปี 1981 เป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการทุนสำรองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีล่าสุดมีผลตอบแทนที่ 5.8% ช่วยเพิ่มรายรับการคลังราว 20% ของรายได้ภาครัฐในแต่ละปี

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลจาก Global SWF คาดการณ์ว่า กองทุน ‘GIC’ มีสินทรัพย์ในการดูแลประมาณ 936,000 ล้านดอลลาร์ และจัดเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลก

 

ดร.ศุภวุฒิ อ้างถึง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งได้ประเมินความเพียงพอของทุนสำรองของประเทศไทย ด้วยวิธี Assessing Reserve Adequacy Metric (หรือ IMF ARA Metric) ในปี 2024 พร้อมพิจารณาปัจจัยต่างๆ ทั้งการส่งออก ปริมาณเงิน หนี้ระยะสั้นที่เป็นหนี้ต่างประเทศ และภาระหนี้อื่นๆ จนได้ข้อสรุปว่า ไทยมีทุนสำรองคิดเป็น 239.6% ของ ARA ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีทุนสำรองที่เกินความจำเป็นมากถึง 139%

 

ดังนั้น ดร.ศุภวุฒิเสนอว่า ไทยควรนำเงินส่วนเกินราว 100,000 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 3 ล้านล้านบาท) มาจัดตั้งเป็น Sovereign Wealth Fund ทันที

 

โดยดร.ศุภวุฒิ ระบุอีกว่า แม้ความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดการคอร์รัปชั่น ในลักษณะเดียวกันกับ กองทุน ‘1MDB’ ของมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิมั่นใจว่า ไทยมีศักยภาพเพียงพอ โดยอิงจากประสบการณ์ในการบริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

 

นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิยังระบุว่า มีคนไทยไปทำงานที่ GIC เป็นจำนวนมาก จึงเชื่อว่าไทยจะมีบุคลากร และศักยภาพเพียงพอในการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 

 

ธุรกิจโตยากกว่าในอดีต

 

สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน ดร.ศุภวุฒิชี้ให้เห็นว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน มีความยากลำบากกว่าการทำธุรกิจในอดีตอย่างมาก เนื่องจากไทยมีการเติบโตของ GDP ที่ทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอลง 

 

โดยในช่วงปี 1991-1996 ไทยเคยมีการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ที่ 8.0% ซึ่งเมื่อรวมผลของเงินเฟ้อ จะมีการเติบโตอยู่ที่ 13% ขณะที่ช่วงปี 2020-2024 ไทยมีการขยายตัวของ GDP เพียง 0.5% และระดับเมื่อรวมเงินเฟ้อโตเพียง 2.1% เท่านั้น

 

จากข้อมูลเบื้องต้น ดร.ศุภวุฒิ อธิบายว่า การนับรวมผลของเงินเฟ้อเข้าไปใน GDP เปรียบได้กับการแสดงอัตราการเติบโตของยอดขาย ซึ่งสำคัญมากต่อภาคธุรกิจ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ในอดีต ไทยเคยมียอดขายโตปีละ 13% ขณะที่ปัจจุบัน ยอดขายเหลือโตแค่ปีละ 2.1% เท่านั้น การทำธุรกิจในปัจจุบันจึงยากกว่าในอดีตอย่างชัดเจน

 

มากกว่านั้น ดร.ศุภวุฒิยังกล่าวอีกด้วยว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ารายได้หรือยอดขาย

 

ดร.ศุภวุฒิยังกล่าวว่า ในอดีต ต้นทุนการกู้ยืมเงินมีขนาดใกล้เคียงกับรายได้หรือยอดขายของภาคธุรกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (MLR) ในช่วงปี 2000-2013 อยู่ที่ 7.0% โดยเฉลี่ย

 

แต่เมื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (MLR) ในปี 2024 พบว่า ผู้ประกอบการต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.3% โดยเฉลี่ย ขณะที่ยอดขายหรือรายได้ มีการเติบโตโดยเฉลี่ยแค่ 2.7% เท่านั้น

 

เศรษฐกิจไทยต้องให้รัฐอุ้ม

 

นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังชี้ให้เห็นว่า ไทยมีการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีงบประมาณเกินดุล 2.9% ต่อ GDP ในช่วงปี 1991-1996 แต่ปัจจุบัน กลับขาดดุลสูงถึง 5.7% ต่อ GDP ในช่วงปี 2020-2024

 

สิ่งนี้สะท้อนว่า รัฐบาลต้องคอยพยุงเศรษฐกิจปีละ 5.7% ของ GDP เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้เพียง 0.5% ในช่วงปี 2020-2024 ขณะที่ในอดีต รัฐบาลเคยมีความพยายามฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจลง 2.9% ของ GDP เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจโตเกินกว่า 8.0% 

 

เกินดุลการค้า สะท้อนกำลังซื้อในประเทศต่ำ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ศุภวุฒิ ยังมองอีกด้วยว่า ไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างยาวนาน ซึ่งในด้านหนึ่งฟังดูเป็นเรื่องดี แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็อาจสะท้อนได้เช่นกันว่า กำลังซื้อในประเทศของไทยอยู่ในระดับต่ำ จึงจำเป็นต้องเร่งส่งของไปขายในต่างประเทศ เพื่อดึงรายได้สุทธิจากต่างประเทศเข้ามา

 

ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล หมายถึงสถานะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ รวมถึงรายรับอื่นๆ ของประเทศ เช่น การท่องเที่ยว หรือเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการ รวมถึงรายจ่ายอื่นๆ ของประเทศ

 

ผลตอบแทนต่ำ ทำเงินทุนไหลออก

 

แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาจฟังดูแล้วร้าย แต่ดร.ศุภวุฒิ สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีเงินทุนเพียงพอเสมอ ซึ่งเป็นผลของการเกินดุลการค้า 

 

อย่างไรก็ตาม เงินทุนเหล่านั้นกลับไหลออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไม่สามารถหาผลตอบแทนที่เหมาะสมได้ โดยไทยมีเงินทุนไหลออกสูงถึง 8,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2020-2024

 

“เงินทุนไหลออกจากไทยอย่างต่อเนื่อง คือเงินทุนหาผลตอบแทนในประเทศที่เพียงพอไม่ได้ จึงต้องเอาออกไป เพราะฉะนั้น ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนทุน เราส่งออกทุนด้วยซ้ำ” ดร.ศุภวุฒิกล่าว

 

SMEs ตอนนี้ แย่กว่าช่วงโควิด-19

 

สำหรับแนวโน้มการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SMEs ในปัจจุบัน ทางดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นว่า อยู่ในสถานะที่แย่กว่าสถานการณ์ในไตรมาส 3/2020 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตโควิด-19 กระทบประเทศไทยรุนแรงมากที่สุดด้วยซ้ำ 

 

โดยยอดการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ในไตรมาส 2 ปี 2025 เบื้องต้นอยู่ที่ 2,864,230 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาส 3 ปี 2020 ที่มีการปล่อยสินเชื่อสูงถึง 3,033,250 ล้านบาท

 

สาเหตุที่ทำให้ ธนาคารส่วนใหญ่กลัวและไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ดร.ศุภวุฒิ ชี้ว่ามีสาเหตุมาจากแนวโน้มของสินเชื่อที่อาจจะเสื่อมคุณภาพลง (Possible Impaired Loan) ที่เพิ่มขึ้นเบื้องต้นเป็น 22.27% ใน Q2/2025 ซึ่งสูงกว่าระดับ 22.21% ใน Q3/2020

 

ทั้งนี้ สินเชื่อที่อาจจะเสื่อมคุณภาพลง หมายถึง หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention :SM) ซึ่งหมายถึงหนี้ที่มีการค้างชำระเกิน 30 วันแต่ยังไม่เกิน 90 วัน กับ สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL) ซึ่งค้างชำระเกิน​ 90 วัน

 

หนทางรอด ปรับตัวสู่ภาคบริการ แทนการท้าชนยักษ์ใหญ่ 

 

ดร.ศุภวุฒิ ระบุว่า ปัจจุบัน ไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่ภาคบริการมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก 

 

โดยในปี 1993 ไทยมีสัดส่วนการผลิตต่อ GDP อยู่ที่ 26% ก่อนจะเพิ่มขึ้นมากสุดในปี 2010 ที่ 31% จากนั้นจึงลดลงเรื่อยมาอยู่ที่ 24% ในปี 2024 

 

ขณะที่สัดส่วนภาคบริการต่อ GDP ไทยอยู่ที่ 55.1% ในปี 1993 ก่อนจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 49.6% ในปี 2010 จากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยมาอยู่ที่ 59.2% ในปี 2024

 

ส่วนผู้ที่เข้ามาเป็นยักษ์ใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมกลายเป็น จีน ซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตในระดับโลกที่ 32.02% ในปี 2024 จากที่เคยครองส่วนแบ่งเพียง 2.80% เท่านั้น ในปี 1990 

 

แม้จีนจะสามารถเร่งพัฒนาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิชี้ว่า อุตสาหกรรมอาหารยังคงเป็นจุดอ่อนที่จีนยังไม่สามารถพัฒนาได้ 

 

โดยจีนมีสัดส่วนการนำเข้าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 3% ในปี 2006 เพิ่มเป็น 8% ในปี 2024

 

ดังนั้น หากไทยต้องการอยู่รอด ดร.ศุภวุฒิชี้ว่า ไทยจำเป็นต้องปรับตัวสู่ภาคบริการให้มากขึ้น และมุ่งหน้าผลิตอาหารส่งจีน โดยเน้นที่แปรรูปสินค้าเกษตร

 

เร่งปลดล็อกเปิดเสรีนำเข้าวัตถุดิบ

 

อย่างไรก็ตาม ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประเมินว่า ไทยยังมีข้อจำกัดในการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการแปรรูป เช่น ถั่วเหลือง และข้าวโพด อยู่ในระดับสูง โดยไทยมีการเก็บภาษีศุลกากรสินค้าเกษตรกว่า 20% ตลอดจนมีมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) คอยเหนี่ยวรั้งการนำเข้าวัตถุดิบ

 

ด้านดร.ศุภวุฒิมองว่า หากมีการเปิดเสรีตลาดวัตถุดิบ ก็จะช่วยให้ไทยสามารถผลิตอาหารแปรรูปได้มากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนมีมูลค่าสูงมาก และต่างประเทศโดยเฉพาะ ยุโรปและญี่ปุ่นก็ให้การยอมรับคุณภาพอาหารสัตว์จากไทยอีกด้วย

 

ทั้งนี้ ดร.ศุภวุฒิ มองว่าการเปิดตลาดเสรีวัตถุดิบอาจเกิดขึ้นจริงได้ยาก เนื่องจากมีผู้เสียผลประโยชน์ ถึงแม้อย่างนั้น การเปิดเสรีวัตถุดิบก็เป็นสิ่งจำเป็น หากไทยต้องการอยู่รอดทางเศรษฐกิจ

 

พัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ

 

ทั้งนี้ ไทยยังมีอุตสาหกรรมศักยภาพสูงอื่นๆ ให้ต้องพัฒนาต่อยอด โดย ดร.ศุภวุฒิแนะนำให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ต่อเนื่องไปจนถึงพัฒนาบริการด้านสุขภาพ (Health Care) ตลอดจนปรับปรุงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัยและน่าไว้วางใจ

 

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ดร.ศุภวุฒิแนะให้เน้นไปยังสินค้าที่เฉพาะกลุ่ม (Niche) ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ตลอดจนชิ้นส่วนที่ไม่ใช่เครื่องยนต์สันดาปภายใน เช่น เบาะรถยนต์ อุปกรณ์ภายในรถ

 

สำหรับการพัฒนาโลจิสติกส์ ดร.ศุภวุฒิแนะนำให้พัฒนารางรถไฟเป็นจุดเชื่อมต่อด้านการขนส่งและการท่องเที่ยว โดยปลดล็อกให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ ตลอดจนสินทรัพย์อื่นๆ ของภาครัฐ เช่น ที่ดินราชพัสดุ

 

แบงก์ชาติไม่ขวางตั้ง ‘กองทุนมั่งคั่ง’ แต่ย้ำต้องรอบคอบ-โปร่งใส-ศึกษาถี่ถ้วน

 

ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงข้อเสนอที่ให้นำทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่สูงถึง 9 ล้านล้านบาทบางส่วน หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาทออกมาใช้ประโยชน์โดยจัดตั้งเป็นกองทุนความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Funds)ว่า 

 

เรื่องดังกล่าวมีข้อเสนอมาแล้วหลายครั้งจึงตอบเหมือนเดิมว่า ธปท. ไม่ได้คัดค้านการตั้งกองทุนความมั่งคั่ง เพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม แต่หากจะดำเนินการจะต้องศึกษาให้รอบคอบ ที่สำคัญการบริหารจัดการต้องความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล รวมถึงต้องพิจารณาโครงสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยซึ่งแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน 

 

โดยทุนสำรองฯของไทยมี 2 ทั้งในส่วนที่มีภาระผูกพันจากเงินตราต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนโดยตรง เงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ซึ่งในส่วนนี้ทุนสำรองฯ สามารถไหลออกได้ตลอดเวลาหากนักลงทุนต้องการนำเงินออก จึงจำเป็นต้องมีทุนสำรองฯ เพื่อรองรับเงินที่จะไหลออกไปในอนาคต

 

อีกส่วนคือทุนสำรองฯ ที่ได้มาจากการค้าขายมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศเข้ามาสะสมในเงินสำรองฯ ดูได้จากตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งบางช่วงเกินดุลและบางช่วงก็ขาดดุล สะท้อนว่าทุนสำรองฯ ของไทยในส่วนนี้ไม่ได้มีมากเกินไป 

 

ทั้งนี้ ต่างจากกรณีประเทศสิงคโปร์ ที่ตั้งกองทุน GIC ( Government of Singapore Investment Corporation ) หรือกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติของรัฐบาลสิงคโปร์ เนื่องจากมีรายได้จากสินค้าและด้านบริการเข้ามาสะสมในทุนสำรองฯเป็นหลัก และบางประเทศมีทรัพยากรที่มั่งคั่ง เช่น ตะวันออกกลางที่มีบ่อน้ำมัน สามารถขายน้ำมันมีรายได้นำมาเพิ่มในทุนสำรองฯ ได้ทันที 

 

ทั้งนี้ การที่ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูง โฆษกธปท.กล่าวว่า ช่วยทำให้เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยแข็งแกร่ง เป็น ‘กันชน’ รองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising