เกือบ 3 ปีหลังจาก OpenAI เปิดตัว ChatGPT โลกการเงินและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างจับตากลุ่ม ‘Magnificent 7’ ที่ประกอบด้วย Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla กลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นผู้ชนะตัวจริงของยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้แก่นักลงทุน เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยครองตลาดในยุคอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนที่เคยหมุนรอบกลุ่มนี้เพียงอย่างเดียวกลับไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะคลื่นลูกใหม่ของ AI กำลังเปิดทางให้บริษัทอื่นๆ ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ
แม้ Magnificent 7 ยังคงเป็นพลังหลักของตลาด โดยมีน้ำหนักเกือบ 35% ในดัชนี S&P 500 และคาดว่ากำไรเฉลี่ยจะเติบโตมากกว่า 15% ภายในปี 2026 แต่ผลการดำเนินงานในกลุ่มนี้กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน Nvidia, Microsoft, Meta และ Alphabet ยังคงเป็นหุ้นที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบในโลก AI และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นระหว่าง 21% ถึง 33% ในปีนี้ ในขณะที่ Apple, Amazon และ Tesla กลับเริ่มสะดุดและตามหลัง ความไม่สมดุลนี้ทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่า Magnificent 7 ยังสะท้อนภาพจริงของผู้ชนะ AI อยู่หรือไม่
ในวอลล์สตรีตมีความพยายามสร้างชุดหุ้นใหม่เพื่อสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น บางรายเสนอให้ลดเหลือ ‘Fab Four’ ที่มี Nvidia, Microsoft, Meta และ Amazon ขณะที่บางฝ่ายตัด Tesla ออกแล้วเรียกว่า ‘Big Six’ อีกกระแสบวก Broadcom เข้ามา กลายเป็น ‘Elite 8’ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับสูตรเช่นไร ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมบริษัทที่ได้ประโยชน์จาก AI อย่างแท้จริงทั้งหมด
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Broadcom ซึ่งขยับขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 7 ของสหรัฐฯ Oracle ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 75% ในปีนี้เพราะธุรกิจคลาวด์ด้าน AI และ Palantir ที่กลายเป็นดาวเด่นของดัชนี Nasdaq 100 ในปี 2025 ด้วยการทะยานขึ้นถึง 135% จากความต้องการซอฟต์แวร์ AI ที่แข็งแกร่ง บริษัทเหล่านี้กำลัง “ใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้” ตามคำกล่าวของ Jurrien Timmer ผู้บริหารจาก Fidelity Investments ที่เชื่อว่าผู้ชนะใหม่จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่กลุ่มเดิม แม้ Magnificent 7 จะยังคงทำผลตอบแทนได้ดีอยู่ก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนผ่านการสร้างดัชนีใหม่อย่าง “Magnificent 10 Index” โดย Cboe Global Markets ที่เพิ่ม Broadcom, Palantir และ AMD เข้ามารวมกับกลุ่มดั้งเดิม แม้ Oracle จะทำผลตอบแทนโดดเด่นและมีสถิติการเติบโตเหนือกว่าหุ้นส่วนใหญ่ใน Mag 7 ตั้งแต่ปี 2023 แต่กลับไม่ถูกเลือกให้อยู่ในดัชนีดังกล่าว การจัดกลุ่มหุ้นเหล่านี้จึงเป็นเรื่องของมุมมองและเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินมากพอ ๆ กับตัวเลขผลประกอบการ
ในขณะเดียวกัน หุ้นที่ถูกพูดถึงว่าอาจหมดความมหัศจรรย์มากที่สุดคือ Apple และ Tesla สำหรับ Apple ปัญหาคือการเติบโตที่ไม่แรงเท่าบริษัทยักษ์เทคโนโลยีรายอื่น และยังถูกมองว่าตามหลังด้าน AI ส่วน Tesla กำลังเผชิญแรงกดดันจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มซบเซาและคู่แข่งใหม่ที่เข้ามาแย่งตลาด แม้กระนั้น นักลงทุนยังคงยึดมั่นในความเชื่อว่า iPhone อาจเป็นอุปกรณ์สำคัญในการเข้าถึง AI ของผู้บริโภคหลายร้อยล้านคน และ Tesla ก็ยังมีความหวังจากโครงการรถยนต์ไร้คนขับและหุ่นยนต์ที่ใช้ AI เป็นหัวใจหลัก
คลื่น AI ยังขยายผลไปสู่หลายอุตสาหกรรมที่อยู่เบื้องหลังโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี ตั้งแต่ผู้ผลิตพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงบริษัทอุปกรณ์เครือข่ายอย่าง Arista Networks ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำอย่าง Micron รวมถึงผู้ผลิตสตอเรจ เช่น Western Digital, Seagate และ SanDisk ขณะที่บางบริษัทที่ถือเป็นตัวจริงของวงการ AI อย่าง OpenAI, Anthropic และ SpaceX กลับยังไม่เข้าตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนทั่วไปยังไม่สามารถมีส่วนร่วมได้โดยตรง
สิ่งที่ชัดเจนคือการเดินทางของหุ้น AI จะไม่หยุดอยู่ที่ Magnificent 7 อีกต่อไป แต่จะค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านตามชั้นของการพัฒนา เริ่มจากบริษัทที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีหลัก ต่อมาจะเป็นบริษัทที่พัฒนาบริการและซอฟต์แวร์ AI และสุดท้ายจะเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่นำ AI ไปใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและการเติบโต กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าใครคือผู้ชนะตัวจริงของยุค AI
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็มาพร้อมความเสี่ยงเช่นกัน หากหุ้นผู้นำ AI มีมูลค่าสูงเกินจริงและการเติบโตชะลอตัว อาจเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศอย่างกะทันหัน คำถามจึงอยู่ที่ว่าการสิ้นสุดของยุค Magnificent 7 จะเป็นเพียงการหมุนเวียนอย่างราบรื่นไปยังผู้เล่นใหม่ หรือจะกลายเป็นการปรับตัวรุนแรงที่เขย่าตลาดโลก
ภาพ: gguy/ Shutterstock
อ้างอิง: