หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่า H-1B เป็น 1 แสนดอลลาร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการจำกัดโอกาสของแรงงานต่างชาติที่จะเข้าทำงานในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดแรงงานโลกด้านเทคโนโลยีหันมาจับตามองภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม Gulf Cooperation Council (GCC) ที่กำลังเดินหน้าเชิงรุกเพื่อดึงดูดบุคลากรด้านเทคโนโลยีและ AI ระดับโลกอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ถือเป็นผู้นำสำคัญที่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อยกระดับตนเองเป็นศูนย์กลาง AI ของโลก ทั้งสองประเทศต่างมียุทธศาสตร์ระดับชาติที่ชัดเจน เช่น Vision 2030 ของซาอุ และ National AI Strategy ของ UAE พร้อมด้วยสิ่งจูงใจที่หลากหลาย ทั้งวีซ่าระยะยาวสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง การลดกฎระเบียบ และสนับสนุนผู้ประกอบการ
นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเทคโนโลยีชี้ว่า ประเทศในกลุ่มอ่าวสามารถเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนที่สูงที่สุดในโลก เพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นนำจากซิลิคอนแวลลีย์ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคนี้โดดเด่นยังรวมถึง สภาพแวดล้อมที่ปลอดภาษี โอกาสในการทำงานในโครงการขนาดใหญ่ที่ล้ำสมัย และคุณภาพชีวิตที่ดึงดูดใจ
ขณะที่นโยบายวีซ่า H-1B ที่มีค่าธรรมเนียมสูง แม้จะยังไม่มีการประกาศรายละเอียดที่ชัดเจน แต่ถูกมองว่าจะยิ่งทำให้ การแข่งขันแย่งชิงบุคลากรด้านเทคโนโลยีทั่วโลกดุเดือดขึ้น ซึ่งนับเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประเทศในกลุ่มอ่าวที่มีตลาดแรงงานยืดหยุ่นและเปิดกว้าง โดยเฉพาะ UAE ที่กำลังกลายเป็นศูนย์รวมแรงงานต่างชาติที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทางกลับกัน สหราชอาณาจักรและยุโรปกลับเผชิญกับความท้าทายในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากขาดการสนับสนุนด้านเงินทุนที่เพียงพอ ประกอบกับกระแสการเมืองที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ซึ่งทำให้บุคลากรระดับสูงเกิดความลังเล
โดยผู้บริหารด้านการลงทุนรายหนึ่งถึงกับกล่าวว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรกำลัง ‘ยิงเท้าตัวเอง’ ด้วยนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่รอบคอบ เพราะนโยบายควรเน้นการแก้ไขปัญหาการอพยพผิดกฎหมาย มากกว่าการผลักไสผู้มีความสามารถที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และเป็นที่น่าจับตาว่าเมื่อ 15 ปีก่อน UAE ยังไม่สามารถรักษาบุคลากรเก่งๆ นอกอุตสาหกรรมพลังงานไว้ได้ แต่ปัจจุบันกลับพัฒนาจนเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินระดับโลก และถูกมองว่าจะสามารถทัดเทียมกับมหานครอย่างลอนดอนหรือนิวยอร์กได้ในอนาคต โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการออกแบบระบบวีซ่าที่หลากหลาย ตั้งแต่วีซ่าสำหรับนักสร้างสรรค์และฟรีแลนซ์ ไปจนถึง Golden Visa ที่ให้สิทธิ์พำนักนาน 10 ปีโดยไม่ต้องผูกติดกับนายจ้าง
นอกจากนี้ ทั้งซาอุและ UAE ยังมีโครงการใหญ่ที่ใช้ AI เป็นแกนหลัก เช่น เมืองแห่งอนาคต NEOM และสมาร์ตซิตี้ใน UAE ซึ่งกลายเป็นสนามทดสอบขนาดใหญ่ที่ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน เพราะยังมีปัญหาเรื่องของการที่จะได้รับสัญชาติยังไม่เปิดกว้าง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าแม้จะได้ทำงาน แต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส หรือความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ก็ยังคงเป็นปัจจัยด้านความมั่นคงที่สร้างความกังวล แม้โครงสร้างพื้นฐานและโอกาสทางอาชีพจะดึงดูดใจมากแค่ไหนก็ตาม
ภาพ: alisa.strj / shutterstock
อ้างอิง: