วันนี้ (22 กันยายน) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในงานสัมมนา Kick Off เครือข่ายสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างเครือข่ายสื่อมวลชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมประชาธิปไตยแบบฐานราก และพัฒนาการเขื่อมประสานกับสื่อมวลชน
เมธา มาสขาว ผู้ประสานงานเครือข่ายสื่อเพื่อความเปลี่ยนแปลง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการสัมมนา โดยระบุว่า จากแนวคิดการเสริมสร้างประชาธิปไตยฐานราก ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ และเห็นผลสำเร็จในหลายพื้นที่ประเทศไทย นำมาสู่การพัฒนาภาคีเครือข่ายเพื่อผลักดันแนวคิดการกระจายอำนาจ จึงได้มีการจัดสัมมนาเพื่อสร้างภาคีเครือข่ายด้านสื่อมวลชน ที่ช่วยสื่อสารประเด็นให้ยึดโยงกับภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่
ศ.ดร. บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อภิปรายแนวคิด ‘ประชาธิปไตยฐานราก’ คือกระบวนการตัดสินใจนโยบายสาธารณะที่มาจากด้านล่าง เพราะทำนโยบายแต่โครงสร้างอย่างเดียวไม่พอ พร้อมชี้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2558 โดย ศ.กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ส่วนหนึ่งมีแนวคิดเรื่องสภาพลเมือง แต่เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนั้นล้มไป จึงต้องมาเสริมแนวคิดประชาธิปไตยฐานราก เพราะเป็นสิ่งจำเป็นของสังคมไทยเพื่อคู่ขนานกับประชาธิปไตยฐานบน
ศ.ดร. บรรเจิดเสนอแนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐใหม่ในลักษณะ ‘ภาคีหุ้นส่วนการพัฒนา’ เพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐเผชิญปัญหาที่ท้าทายของสังคมได้ พร้อมทำให้ภาคประชาสังคมมีความเข้มแข็ง พร้อมดำเนินการร่วมกับภาครัฐ โดยมีการประสานงานเครือข่ายร่วมกับภาคีที่หลากหลายโดยใช้แต่ละพื้นที่เป็นฐาน
ทั้งนี้ กลไกในการดำเนินขับเคลื่อนประกอบไปด้วยภาคีเครือข่ายหลัก 7 กลุ่ม ได้แก่
- ภาคีเครือข่าย 7 ส. ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สสส., สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), นิด้า
- โครงการวิจัยศักยภาพสูง
- สถาบันสานพลังประชาชน ตามแนวคิดว่าด้วยการสถาปนาอำนาจประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย
- แผนงานสนับสนุนการพัฒนาระบบและกลไกจังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งเป็นกลไกที่ สสส. ยกร่าง
- เครือข่ายวิชาการ
- เครือเยาวชน
- เครือข่ายสื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ
นอกจากนี้ ศ.ดร. บรรเจิดได้เสนอแนะแนวทางการเสริมความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม เช่น ปรับหมวด ‘กระจายอำนาจ’ ในรัฐธรรมนูญจาก ‘การปกครองส่วนท้องถิ่น’
เป็น ‘การบริหารท้องถิ่น’ สนับสนุนให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม เพิ่มมาตรการในการส่งเสริมสนับสนุนองค์กรชุมชนหรือองค์กรภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนมาตรการทางการเงิน
รวมถึงให้องค์กรภาคีที่ทำงานสนับสนุนส่งเสริมภาคประชาสังคมในพื้นที่กำหนด
เป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม สร้างมาตรการและกลไกให้ราชการส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรชุมชนหรือภาคประชาสังคมในพื้นที่สามารถบริหารงานหรือดำเนินการในพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ตลอดจนออกระเบียบหรือกฎหมายเพื่อรองรับการจัดตั้ง ‘คณะกรรมการประสานภาคประชาสังคมระดับจังหวัด’
จากนั้น ที่ประชุมสัมมนาได้เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นจากตัวแทนองค์กรและฝ่ายต่างๆ เช่น องค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการ และสื่อมวลชน