จีนวางแผนผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมการนำเข้าทองคำเพื่อเร่งแก้ปัญหาเงินหยวนแข็งค่า ขณะที่เวียดนามเตรียมคุมเข้มการซื้อขายทองคำ ผ่านการเก็บภาษีกำไรจากธุรกรรมซื้อขายทองคำ หวังเพิ่มความโปร่งใสและลดการเก็งกำไร
จีนผ่อนคลายเงื่อนไขนำเข้าทองคำ
เพื่อสร้างสมดุลในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางจีน (PBOC) เตรียมเสนอผ่อนคลายเงื่อนไขการนำเข้าและส่งออกทองคำ ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence
โดยการผ่อนคลายดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่ การขยายจำนวนเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่มีหน้าที่พิจารณาใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence เพิ่มเป็น 15 ราย จากเดิม 10 ราย ลดขั้นตอนและเอกสารเพื่อปรับปรุงระบบการอนุมัติ ใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence ให้เร็วขึ้น
ขยายอายุการใช้งานใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence จาก 6 เดือน เป็น 9 เดือน รวมทั้งยกเลิกการจำกัดจำนวนครั้งของการใช้ใบอนุญาต ให้สามารถใช้งานโดยไม่จำกัด
ภายใต้เงินหยวนที่แข็งค่า ถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ซื้อทองคำชาวจีน เพราะจะสามารถซื้อทองคำแท่งได้ในราคาที่ถูกลงเมื่อซื้อด้วยสกุลเงินดอลลาร์
การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้ผู้คนต้องการเงินดอลลาร์มากขึ้นเพื่อนำมาซื้อทองคำ ซึ่งจะช่วยบรรเทาการแข็งค่าของสกุลเงินหยวนได้ในที่สุด
ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในตลาดทองคำ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเปิดตลาดเสรีอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ การส่งออกทองคำจะมีความเข้มงวดมากขึ้นในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ (Capital Control) ขยายความครอบคลุมมากขึ้น ตลอดจน PBOC ที่ต้องการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็น (Hearing) ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับเวียดนามที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเสนอแผนการแทรกแซงตลาดทองคำ
เวียดนามเตรียมเก็บภาษีกำไรซื้อขายทองคำ
รัฐบาลเวียดนามกำลังจัดระเบียบตลาดทองคำในประเทศ ด้วยการเตรียมแก้ไขกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการซื้อขายทองคำเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางภาวะตลาดที่ร้อนแรงและผันผวนอย่างหนัก
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใส, ควบคุมการเก็งกำไรที่เกินควร และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกับสินทรัพย์ประเภทอื่น หลังจากที่ราคาทองคำในประเทศพุ่งสูงขึ้นจนทิ้งห่างราคาในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทองคำเวียดนามเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง โดยราคาทองคำแท่งของ Saigon Jewelry Company (SJC) ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศ เคยพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 135 ล้านดองต่อตำลึง (Tael – หน่วยน้ำหนัก 37.5 กรัม) ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดโลกถึงประมาณ 17% ก่อนจะย่อตัวลงมา
ภาวะดังกล่าวสะท้อนถึงการเก็งกำไรที่สูงมากในตลาด โดยราคาทองคำในเวียดนามได้ ปรับตัวสูงขึ้นถึง 56% แล้วในปีนี้ หลังจากที่เพิ่มขึ้น 14% ในปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้สั่งการให้มีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นตลาดและการกักตุน และนับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา คณะทำงานเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ คณะผู้ตรวจการของรัฐบาล, กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า, กระทรวงการคลัง, กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และธนาคารแห่งชาติ ได้เริ่ม ปฏิบัติการปูพรมเข้าตรวจสอบ สถาบันสินเชื่อและผู้ประกอบธุรกิจทองคำทั่วประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการซื้อขาย, การป้องกันการฟอกเงิน และการออกใบกำกับภาษี
การเคลื่อนไหวของทั้งจีนและเวียดนามเกิดขึ้นพร้อมๆ กับกระแสข่าวที่ว่าไทยกำลังพิจารณาเกี่ยวกับการเก็บภาษีทองคำ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง
ประเด็นดังกล่าวถูกเสนอโดย วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลัง ซึ่งโพสต์แสดงความคิดเห็นลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แนะนำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอแนวทางให้กระทรวงการคลังพิจารณาใช้กลไกภาษีธุรกิจเฉพาะ หากซื้อขายทองคำด้วยเงินบาท
อย่างไรก็ตาม ธปท. ระบุว่า การเก็บภาษีทองคำแท่งอยู่ในขั้นหารือเท่านั้น ท้ายที่สุดผลการหารือจะเป็นเช่นไร จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะจะมีผู้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-09-17/china-to-smooth-gold-imports-as-prices-soar-and-yuan-rallies
- https://www.reuters.com/markets/asia/china-seeks-feedback-plans-streamline-gold-import-rules-2025-09-12/
- https://e.vnexpress.net/news/business/economy/government-moves-to-tax-income-from-gold-to-deter-speculation-4939062.html