×

จากชาร์ลี เคิร์ก ถึงประท้วงใหญ่ในอังกฤษ: เมื่อฝ่ายขวาลุกขึ้น ท้าทายโลกเสรีนิยมที่เสื่อมถอย?

16.09.2025
  • LOADING...
charlie-kirk-assassination-trump-politics

 

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของ ‘ชาร์ลี เคิร์ก’ ปรากฏอยู่บนหน้าสื่อต่างประเทศหลายสำนักทั่วโลก หลังจากที่เขาถูกลอบสังหาร ขณะกำลังปราศรัยท่ามกลางฝูงชนหลายพันคนภายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐยูทาห์ของสหรัฐอเมริกา โดยเคิร์ก ถือเป็นนักเคลื่อนไหว ‘ฝ่ายขวาจัด’ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรคนสำคัญของโดนัลด์ ทรัมป์  เหตุการณ์ลอบสังหารเคิร์กในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนของ ‘การเมืองยุคทรัมป์’ หรือไม่ และจะเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ในการเมืองอเมริกันอย่างไร

 

ขณะที่ฝ่ายขวาในสหราชอาณาจักรก็เดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ ‘Unite The Kingdom’ ในกรุงลอนดอน ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านผู้อพยพผิดกฎหมาย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมสูงกว่า 1.5 แสนคน โดยมีแกนนำฝ่ายขวาจัดอย่าง ทอมมี โรบินสันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มฝ่ายขวาเหล่านี้ ทั้งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรป กำลังบ่งชี้ถึงอะไร หลังแนวคิดของฝ่ายขวา มีแนวโน้มที่จะได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากผลการเลือกตั้งในหลายๆ ประเทศ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ชาร์ลี เคิร์ก กับ MAGA

 

ผศ. ดร. จันจิรา สมบัติพูนศิริ อาจารย์ประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยประจำ German Institute for Global and Area Studies มองว่า ชาร์ลี เคิร์ก ผูกโยงอยู่กับแนวคิด ‘MAGA’ (Make America Great Again) ซึ่งเป็นความพยายามของ ‘ฝ่ายขวา’ ที่จะฟื้นฟูความรุ่งเรืองของสหรัฐฯ ผ่านการโปรโมตกระแสชาตินิยม หรือ สหรัฐฯ นิยม ซึ่ง ‘ต่างจาก’ ความเป็นอเมริกันที่โปรโมตโดยแนวคิดเสรีนิยม หรือแนวคิดก้าวหน้าของกลุ่มฝ่ายซ้าย

 

เฉดหนึ่งของ MAGA คือ การกลับไปให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘เชื้อชาตินิยม’ และ ‘ความดั้งเดิม’ ของการก่อตั้งประเทศ ซึ่งมีคนขาวที่เป็นชาวคริสต์ (โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนท์) เป็นศูนย์กลาง ทำให้แนวคิดเรื่องความเป็นอเมริกันมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

 

เคิร์ก และบรรดาผู้สนับสนุน MAGA เชื่อว่า สังคมอเมริกันถูกปกคลุมด้วย ‘แนวคิดซ้ายสุดโต่ง’ หรือที่เรียกว่า ‘Woke’ ซึ่งเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลสูงมาก มีการนิยามหรือระบุเพศที่หลากหลาย ทั้งยังรวมถึง Political Correctness (PC) ที่เน้นการใช้ภาษา ท่าทาง และนโยบายอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายจิตใจหรือเหยียดหยามผู้อื่น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ รวมถึงการยอมรับในความหลากหลายของชนกลุ่มน้อย และคุณค่าเรื่องบทบาททางเพศ  ซึ่งบ่อยครั้งแนวคิดนี้ได้ลดทอนความสำคัญของความเป็นอเมริกันดั้งเดิมในสายตาของกลุ่มฝ่ายขวา

 

ขณะที่ในมิติเศรษฐกิจ MAGA สะท้อนผ่านนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ โดยมีเป้าหมายให้สหรัฐฯ หันมาสนใจผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเองก่อนประเทศอื่นๆ ซึ่ง ‘แตกต่าง’ จากบทบาทเดิมของสหรัฐฯ ที่เป็นผู้โอบอุ้มเศรษฐกิจโลกแบบเสรีนิยม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

อาจารย์จันจิรายังระบุว่า เคิร์กเป็นผู้สนับสนุนแนวคิด MAGA และเป็นผู้ช่วยระดมเสียงสนับสนุนของโหวตเตอร์ ที่เป็นผู้ชายอายุน้อยๆ หรือผู้ชาย Gen Z โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูคุณค่าดั้งเดิมเกี่ยวกับบทบาทชาย-หญิง และหันมาเห็นความสำคัญของผู้ชายในสังคม ‘มากขึ้น’ ซึ่งเป็นการโต้กลับกระแสเฟมินิสต์ ที่ทำให้ผู้ชายเหล่านั้นขาดต้นแบบ (Role Model) และรู้สึกไม่มีพื้นที่ในสังคมอเมริกันที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่เต็มไปด้วยต้นแบบและเป้าหมายในชีวิต มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่อยู่ในเงื่อนไขที่ดีกว่า

 

‘จุดเปลี่ยน’ การเมืองยุคทรัมป์

 

อาจารย์จันจิรามองประเด็นนี้ด้วย ‘ความกังวล’ เพราะเคิร์ก มีความสำคัญในฐานะตัวละครทางวัฒนธรรม ที่มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมากในสหรัฐที่มีแนวโน้มฝักใฝ่ MAGA การเสียชีวิตของเคิร์ก ความตายทำให้เขากลายเป็น ‘วีรบุรุษ’ ของ MAGA ความตายของเคิร์กจะกลายเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ที่สร้างความยั่งยืนให้กับแนวคิดนี้ได้ โดยจะดึงดูดคนที่อยากจะต่อสู้เพื่ออุดมการณ์นี้เข้ามาได้มากยิ่งขึ้น 

 

นอกจากนี้ นับตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 สหรัฐฯ มีความเป็น ‘อำนาจนิยมเพิ่มมากขึ้น’ โดยจะเห็นได้จากการรวบอำนาจของฝ่ายบริหารภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เช่น การใช้หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง (ICE) จัดการกับผู้อพยพ, การใช้ศาลสูงสุดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง รวมถึงการออกคำสั่งประธานาธิบดีที่บ่อยครั้งเป็นการก้าวล่วงอำนาจสภาคองเกรส

 

อาจารย์จันจิรากังวลว่า ความตายของเคิร์กอาจถูกใช้เป็น ‘ข้ออ้าง’ ให้ทรัมป์กล้าใช้หน่วยงานความมั่นคงและ National Guard ในการปราบปรามผู้เห็นต่างมากขึ้น ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็น ‘รัฐตำรวจ’ ในที่สุด ซึ่งจุดนี้อาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายในสหรัฐฯ ตึงเครียดและรุนแรงยิ่งขึ้น 

 

แม้ขณะนี้จะยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ต้องสงสัยที่ลงมือสังหารเคิร์กมีแนวคิดหรือจุดยืนอย่างการเมืองแบบใดอย่างแน่ชัด แต่นักการเมือง และบุคคลสำคัญที่มีแนวคิดฝ่ายขวา และสนับสนุน MAGA ซึ่งรวมถึง เจ. ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศ ‘ทำสงครามกับฝ่ายซ้าย’ โดยกล่าวโทษว่า ฝ่ายซ้ายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตายของเคิร์ก พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์จะรื้อถอนสถาบันและองค์กรต่างๆ (ของฝ่ายซ้ายจัด หรือ ซ้ายสุดโต่ง) ที่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้ายภายในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้อุณหภูมิความตึงเครียดระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายในสหรัฐฯ ยิ่งร้อนระอุ

 

ฝ่ายขวาในอังกฤษ-สหรัฐฯ

 

ฝ่ายขวาในสองประเทศนี้ ‘มีความคล้ายคลึงกันมาก’ เนื่องจากทั้งอังกฤษ และสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในระบบการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษลดความสัมพันธ์ในโลกลงอย่างมาก ซึ่งเป็นการโอนบทบาทมหาอำนาจให้กับสหรัฐฯ ซึ่ง ‘โลกตะวันตก’ ที่มีสหรัฐเป็นผู้นำ เผชิญกับภาวะถูกท้าทายโดยอารยธรรมและเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ตะวันตกในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา จนทำให้รู้สึกว่า ความสำคัญของสหรัฐอังกฤษและยุโรปในฐานะมหาอำนาจหรืออดีตมหาอำนาจของโลก กำลัง ‘เสื่อมถอยลง’

 

อาจารย์จันจิรา อธิบายว่า ฝ่ายขวาได้รับเสียงสนับสนุนจากโหวตเตอร์ ตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ-วิกฤตการณ์เงินครั้งใหญ่ เมื่อปี 2008 ซึ่งเชื่อมโยงกับ ‘ปัญหาปากท้อง’ และข้อกังขาของฝ่ายขวาที่ว่า พวกชนชั้นนำเสรีนิยม เป็นผู้ที่ผูกขาดอำนาจทางความคิดตั้งแต่หลังสงครามเย็นเป็นต้นมา  ชนชั้นนำเหล่านี้ ‘ไม่เห็นหัวประชาชน’ 

 

ซ้ำร้าย บรรดาธนาคารทั้งหลายที่เป็นคนปล่อยกู้ จนเกิดวิกฤตการณ์เป็นหนี้บ้านเต็มไปหมด ซึ่งเป็นต้นตอของวิกฤตเศรษฐกิจกลับถูกอุ้มชูช่วยเหลือ และไม่ต้องรับโทษ จุดนี้ทำให้ประชาชนเริ่มรู้สึกว่า สิ่งที่ฝ่ายขวาพูดอย่างน้อยในประเด็นเศรษฐกิจที่ว่า ชนชั้นนำฝ่ายเสรีนิยมไม่เห็นหัวประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่ผิดซะทีเดียว 

 

ประกอบกับกระแสผู้อพยพ ที่เมื่อผู้คนที่ไหลทะลักเข้ามาในประเทศตะวันตกเยอะมากๆ จนทำให้ศักยภาพของประเทศเหล่านี้ในการทำให้คนที่อพยพเข้ามายอมรับวัฒนธรรมใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตะวันตกเหล่านี้เป็นไปได้ ‘ยากมากขึ้น’ ทำให้เกิด ‘สังคมคู่ขนาน’ และมีความรู้สึกว่า ตะวันตกกำลังถดถอย จึงเกิดการโยนความผิดไปให้บรรดาผู้อพยพที่ส่วนหนึ่งไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้

 

กระแสต่อต้านผู้อพยพในอังกฤษที่ปะทุขึ้นเป็นการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน คล้ายคลึงกับกระแสต่อต้านผู้อพยพในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศในยุโรป ซึ่งผูกโยงอยู่กับปัญหาปากท้อง ปัญหาการแย่งงานทำ การทุ่มทรัพยากรและสวัสดิการต่างๆ ให้กับกลุ่มคนที่ไม่ใช่พลเมือง รวมถึงการก่ออาชญากรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในสายตาของฝ่ายขวา

 

อาจารย์จันจิราระบุว่า ความรู้สึกและกระแสเหล่านี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตัวพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย หรือซ้ายกลาง หรืออนุรักษ์นิยมกลาง ที่เคยเป็นพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง กลับได้รับเสียงสนับสนุนน้อยลง เพราะ ‘ไม่ตอบโจทย์’ ปัญหาเศรษฐกิจและความกังขาเชิงวัฒนธรรมเรื่องผู้อพยพ

 

ฝ่ายขวาทั้งในสหรัฐฯ อังกฤษ รวมถึงในยุโรปต่างเชื่อมโยงกัน รับและส่งอิทธิพลทางความเชื่อและแนวคิดระหว่างกัน การที่ทรัมป์ หรือ อีลอน มัสก์ ร่วมการประชุมของพรรคฝ่ายขวาจัดในเยอรมนีอย่างพรรค AfD จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเครือข่ายของฝ่ายขวาที่มีลักษณะข้ามพรมแดน

 

การเตรียมพร้อมรับมือ ‘โลกที่เปลี่ยนแปลง’

 

อาจารย์จันจิราระบุว่า เราอาจจะต้อง ‘เตรียมทำใจ’ เพราะโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระดับที่เรียกได้ว่าเป็น ‘Tectonic’ (การขยับของเปลือกโลก) ซึ่งเป็นการต่อสู้กันของพลังทางความคิดและนโยบาย

 

แนวคิดเสรีนิยม ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น ‘ความก้าวหน้า’ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก โดยที่จริงๆ แล้ว โลกไม่เดินไปข้างหน้าอย่างเดียว บางครั้งโลกก็ถอยหลัง ซึ่งบางคนมองว่าถอยหลัง อาจเป็นความก้าวหน้าสำหรับฝ่ายขวา 

 

สิ่งที่อาจกระทบภูมิภาคเราคือ ‘บรรยากาศอำนาจนิยม’ ที่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองกระแสหลัก โดย รัฐบาลอำนาจนิยมจะมี ‘เพื่อน’ เพิ่มมากขึ้น ทำให้กลไกในการกดดันประเทศอื่นให้เป็นประชาธิปไตยหรือรักษาสิทธิมนุษยชน อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

อาจารย์จันจิราเชื่อว่า ในโลกตะวันตก การลุกฮือของฝ่ายขวา อาจจะไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่กลายเป็นกระแสหลัก แต่จะกลายเป็น การสู้กันของวิธีคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยกับฝ่ายขวาที่มีความเฉพาะเจาะจง หากพูดในภาพรวม วิธีคิดในโลกจะแตกออกเป็นเศษเสี้ยวมากขึ้น สมัยหนึ่งเราเคยเชื่อว่า โมเดลการปกครองที่ดีที่สุดต้องเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ขณะที่โมเดลเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ต้องเป็นแบบทุนนิยมที่เกี่ยวพันกับโลกาภิวัตน์ ซึ่งโมเดลนี้นั้นได้สลายและหมดความศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว  และยังไม่มีโมเดลใหม่ที่ทรงพลังทางความคิดมาแทนที่

 

ฝ่ายขวาเองก็ ‘ไม่ใช่เนื้อเดียวกัน’ มีความหลากหลายและแตกแยกย่อยทำให้เกิดการต่อสู้กันเองภายใน และส่งผลให้นโยบายรัฐบาล (เช่น รัฐบาลทรัมป์) สะเปะสะปะ สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายขวาก็ยังไม่สามารถรวมตัวกันเป็นพลังทางความคิดที่มั่นคงได้เหมือนอุดมการณ์ที่มีความแข็งแกร่ง เช่น คอมมิวนิสต์ในอดีต

 

ภาพ: Jaimi Joy / Reuters

 

อ้างอิง:

FYI

อาจารย์จันจิราอธิบายเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจเรื่องฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวาแบบเดิม ‘ใช้ไม่ได้แล้ว’

 

ฝ่ายซ้ายเก่า (ยุค 1970s-1980s): เน้นเรื่องเศรษฐกิจ ความเท่าเทียม สิทธิแรงงาน และการต่อต้านชนชั้น

 

ฝ่ายซ้ายใหม่ (เกิดขึ้นหลังความพ่ายแพ้ของคอมมิวนิสต์/ช่วงหลังสงครามเย็น): เน้นการเมืองอัตลักษณ์ (Identity Politics) สนใจความไม่เท่าเทียมกันของคนส่วนใหญ่และส่วนน้อย เช่น เพศสภาพ และสีผิว

 

ฝ่ายขวาเก่า (ยุคก่อน 1970s): เน้นค่านิยมดั้งเดิม ศาสนา เสรีนิยมเศรษฐกิจ (Laissez-faire), ต่อต้านรัฐสวัสดิการ

 

ฝ่ายขวาใหม่ (1980s เป็นต้นมา): เป็นปฏิกิริยา (Reaction) ต่อซ้ายใหม่ โดยสู้กันในประเด็นทางวัฒนธรรม เช่น คุณค่าของครอบครัว เพศสภาพ และสีผิว ขณะที่ในมิติเศรษฐกิจมีความคล้ายคลึงกับซ้ายเก่า ต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านโลกาภิวัตน์ โดยใช้ประชานิยมและชาตินิยมเป็นฐาน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising