×

บทสรุปงาน Tencent Global Digital Ecosystem Summit 2025 ‘ทำอย่างไรให้ AI ผสานกับชีวิตประจำวันของผู้คน’

16.09.2025
  • LOADING...
Tencent เปิดตัว AI Agent 3.0 ที่งาน Global Digital Ecosystem Summit 2025 พร้อมชูไทยเป็นฐาน Data Center สำคัญ

HIGHLIGHTS

  • Tencent เปิดตัว AI Agent 3.0 ในงาน Global Digital Ecosystem Summit 2025 และมุ่งเน้นการพัฒนา AI แบบตามสถานการณ์การใช้งาน (Scenario-Based) เพื่อให้องค์กรสามารถสร้างผู้ช่วย AI ที่ทำงานเฉพาะทางได้เอง 
  • ประเทศไทยกำลังกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการลงทุนด้าน Data Center ของภูมิภาค โดยผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ทั้งจากฝั่งตะวันตกและตะวันออกต่างเข้ามาตั้ง Local Availability Zone ซึ่งช่วยให้ธุรกิจไทยเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ
  • ฐนสรณ์ ใจดี จาก True IDC ชี้ว่าความท้าทายของธุรกิจไทยในปัจจุบันไม่ใช่การตัดสินใจว่าจะใช้ AI หรือไม่ แต่คือการหากรณีการใช้งาน (Use Case) ที่เหมาะสมและสามารถสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง เช่น การนำไปใช้เพื่อลดต้นทุน หรือปรับปรุงบริการ
  • เป้าหมายสูงสุดของเทคโนโลยี AI คือการก้าวข้ามจากการเป็นเครื่องมือถาม-ตอบ ไปสู่การเป็นเทคโนโลยีที่ฝังตัวอยู่ในทุกบริการของชีวิตประจำวันได้อย่างแนบเนียน ตั้งแต่การแนะนำคอนเทนต์

กระแส AI ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในระดับธุรกิจหรือการใช้งานระดับบุคคล ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเรายังคงเห็นการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี AI เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันตกหรือฝั่งตะวันออก ที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้ 

 

ล่าสุด THE STANDARD WEALTH ได้รับเชิญจาก Tencent Cloud ในฐานะตัวแทนสื่อไทย เพื่อเดินทางไปร่วมงานใหญ่ประจำปีอย่าง Global Digital Ecosystem Summit 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมโลกเซินเจิ้น (Shenzhen World Exhibition & Convention Center) ระหว่างวันที่ 16-17 กันยายน 2025 

 

จาก AI ทั่วไป สู่ ‘AI Agent’ ที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง

 

ภายในงาน Tencent ได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี AI ครั้งสำคัญที่สะท้อนทิศทางของอุตสาหกรรม นั่นคือการมุ่งหน้าสู่ AI แบบตามสถานการณ์การใช้งาน (Scenario-Based AI) และการเปิดตัวแพลตฟอร์มพัฒนา AI Agent 3.0 ที่พร้อมให้บริการทั่วโลกผ่าน Tencent Cloud

 

ดาวสัน ตง (Dowson Tong) รองประธานบริหารอาวุโสของ Tencent และ CEO ของกลุ่มธุรกิจคลาวด์และอุตสาหกรรมอัจฉริยะ กล่าวว่า “แอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานได้จริงและนำไปใช้ได้จริงจะช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่การขยายสู่ตลาดสากลจะสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ”

 

แนวคิดนี้คือการก้าวข้าม AI แบบกว้างๆ ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง ไปสู่การสร้าง AI Agent หรือผู้ช่วย AI อัจฉริยะที่องค์กรสามารถพัฒนาขึ้นมาได้เองเพื่อทำงานเฉพาะทาง เช่น การบริการลูกค้า, การตลาด, การจัดการสินค้าคงคลัง หรือการวิจัย โดยใช้ข้อมูลภายในขององค์กรเอง ซึ่งจะทำให้ Agent มีความเสถียร ปลอดภัย และสอดคล้องกับธุรกิจอย่างแท้จริง

 

นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่างการนำ AI ไปใช้งานจริงแล้วในปัจจุบัน เช่น ฟีเจอร์ AI Minutes ใน Tencent Meetings ที่ช่วยสรุปการประชุม ซึ่งมีอัตราการเติบโตถึง 150% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือ CodeBuddy เครื่องมือเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนาที่ช่วยลดระยะเวลาเขียนโค้ดได้ถึง 40%

 

ไทยในฐานะ ‘สถานีถัดไป’ ของสมรภูมิ Data Center

 

การขยายตัวของเทคโนโลยีระดับโลกย่อมต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่ง Tencent Cloud ได้ประกาศความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่สากล โดยมีฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้นสองเท่าจากปีที่แล้ว และหนึ่งในพันธมิตรสำคัญที่ถูกกล่าวถึงบนเวทีคือ True IDC จากประเทศไทย

 

ฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม True IDC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาบนเวที Tencent Cloud International Summit ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Standard Wealth ถึงภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมว่า ประเทศไทยกำลังกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

 

“ตอนนี้เรากำลังเป็นสถานีถัดไปในการลงทุน Data Center ของภูมิภาค” ฐนสรณ์กล่าว ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ทั้งจากฝั่งตะวันตกและตะวันออก เช่น Amazon, Google, Alibaba, Tencent และ Huawei ต่างเข้ามาตั้ง Local Availability Zone ในประเทศไทย ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนมหาศาลไหลเข้าประเทศ และทำให้ธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีคลาวด์ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

“ในมุมของคนใช้งาน โอกาสเข้าถึงคลาวด์ง่ายขึ้น ข้อมูลและการใช้งานจะอยู่ในไทย คนพัฒนาแอปพลิเคชันก็ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ธุรกิจเดินได้เร็วขึ้น”

 

โจทย์จริงของธุรกิจไทย ไม่ใช่จะใช้ AI หรือไม่ แต่จะใช้อย่างไร

 

เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้แค่เอื้อม คำถามสำคัญจึงเปลี่ยนไป ฐนสรณ์ชี้ว่าโจทย์ของธุรกิจในวันนี้ไม่ใช่การตัดสินใจว่าจะใช้คลาวด์หรือ AI ดีหรือไม่ แต่คือการหา Use Case หรือกรณีการใช้งานที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองให้เจอ

 

“ธุรกิจ Adopt ใช้ Cloud ไม่ล้มเหลวหรอก แค่ว่าจะใช้แบบไหน แต่สำหรับ AI โจทย์คือการหา Use Case ที่เหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ มันต้องพิสูจน์ได้ว่าช่วยสร้างคุณค่าได้จริง ส่วนใหญ่ที่ไปต่อไม่ได้เพราะขาด Use Case ที่ชัดเจน”

 

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในไทยคือกลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เช่น Lotus’s ที่ใช้ Multi-cloud และ Analytics AI ของ Tencent เพื่อช่วยลดต้นทุนและเวลาในการบริหารจัดการ หรือ TRUE X ที่นำเทคโนโลยีของ Tencent มาเป็นส่วนหนึ่งของบริการ ขณะที่ True IDC เองก็นำ AI มาใช้ในระบบหลังบ้านเพื่อสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

 

ฐนสรณ์กล่าวต่อว่า อนาคตของธุรกิจและเทคโนโลยีคือการทำให้ AI เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างแนบเนียน

 

“อนาคตของธุรกิจคือ จะทำยังไงให้ AI ไปอยู่ในมือของทุกคน ตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังใช้แค่การถาม-ตอบ แต่จะทำอย่างไรให้ AI เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคน ทำให้คนใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น”

 

ภาพที่เขาฉายคือ AI ที่ฝังตัวเข้าไปในทุก Layer ของบริการ ตั้งแต่การแนะนำคอนเทนต์ที่เราชอบเวลาดูหนัง ไปจนถึงระดับเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เหมือนที่เซินเจิ้นกำลังเป็นอยู่ เช่น รถยนต์ไร้คนขับที่เชื่อมต่อกับแผนที่แล้วรู้ว่าสัญญาณไฟแดงจะหมดในกี่วินาที

 

“AI ที่สามารถผสานเข้าไปในแต่ละเลเยอร์ของการบริการ จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจและยินดีที่จะใช้งาน”

 

ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัย 3 ปัจจัยสำคัญคือ 1. ลูกค้าต้องได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น, 2. องค์กรต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ 3. คนต้องเก่งพอที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 

 

นี่คือบทสรุปและโจทย์ใหญ่ที่ทุกธุรกิจต้องขบคิด เพื่อเปลี่ยนผ่านจากยุคแห่งการทดลอง AI ไปสู่ยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างแท้จริง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising