วันนี้ (7 กันยายน) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยควรทำงานร่วมกันในฐานะฝ่ายค้าน แทนที่จะหันหน้าเข้าสู่ ‘นิติสงคราม’ เพื่อทำลายล้างกัน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อประชาธิปไตย
พริษฐ์ยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยมีสิทธิ์วิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชนได้เต็มที่ แต่ตั้งข้อสังเกตถึงความย้อนแย้งในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการทำข้อตกลง MOA ของพรรคประชาชนเป็นการล้มล้างการปกครอง
พริษฐ์ระบุว่า พรรคเพื่อไทยบอกว่าการทำข้อตกลงตาม ‘เงื่อนไข 3 ข้อหลัก’ ของพรรคประชาชนขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก่อนที่พรรค ประชาชนจะตัดสินใจว่าจะทำข้อตกลงกับพรรคใด พรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ประกาศว่ายอมรับทุกเงื่อนไขของ พรรคประชาชนหลังจากได้มีการหารือกันถึงรายละเอียดที่สำนักงานพรรคประชาชน ยังไม่นับถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านั้นที่ได้พยายามประกาศเงื่อนไขหรือข้อเสนอเพิ่มเติมจาก 3 ข้อเสนอหลักของพรรคประชาชน
สำหรับประเด็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น พริษฐ์ชี้ว่า การมีอยู่ของรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้ในหลายประเทศประชาธิปไตย และตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยเองก็เข้าใจและยอมรับว่าพร้อมจะคงสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากมีการทำข้อตกลงกับพรรคประชาชน
พริษฐ์กล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยเคยยืนยันว่าพร้อมจะยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อโน้มน้าวให้พรรคประชาชนทำข้อตกลง MOA ร่วมกัน และยังเคยเสนอ ‘ยุบสภาทันที’ หลังจากลงนามข้อตกลงไปแล้วด้วย
พริษฐ์ยังชี้ว่า หากพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการทำข้อตกลงระหว่างพรรคการเมืองที่เปิดเผยและเกี่ยวข้องกับประเด็นสาธารณะขัดรัฐธรรมนูญจริง จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองหลีกเลี่ยงการทำ ‘สัญญาประชาคม’ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อแนวทางการเมืองที่โปร่งใส
“ผมสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพรรคเพื่อไทยต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชน และผมยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่โดนผลกระทบมาก่อนหน้านี้จากกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ผมเห็นว่าหากเราต้องการให้รัฐบาลภูมิใจไทยไม่เบี้ยวต่อข้อตกลงเรื่องยุบสภาและการปลดล็อกการจัดทำ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และไม่กระทำการใดๆ อันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้ การทำงานหนักร่วมกันของพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตประเทศ กว่าการหักหาญ หรือทำลายล้างกันด้วยกลไกนิติสงคราม” พริษฐ์ระบุ
พริษฐ์เสนอว่า แม้ทั้งสองพรรคจะมี สส. เพียงพอที่จะเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่หากต้องการล้มรัฐบาลผ่านการลงมติ การร่วมมือกันจะมีส่วนสำคัญในการทำให้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
นอกจากนี้ ทั้งสองพรรคสามารถพูดคุยและตกลงกันเพื่อผลักดันกฎหมายที่เห็นตรงกันให้ผ่านสภาได้ ขณะเดียวกันก็สามารถร่วมกันยับยั้งกฎหมายของรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วย หากทั้งสองพรรคร่วมกันรักษาความเป็นเอกภาพของ สส. ภายในพรรคได้สำเร็จ จะทำให้รัฐบาลภูมิใจไทยยังคงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และฝ่ายค้านจะยังคงทำงานในฐานะเสียงข้างมากในสภาต่อไปได้
”ผมเห็นว่าการเมืองไทยควรมุ่งสู่การติดตามการรักษาสัญญา การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล และการผลักดัน กฎหมายที่ก้าวหน้าในสภาให้เกิดผลแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงนิติสงคราม เพื่อทำลายล้างกัน อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว” พริษฐ์ทิ้งท้าย