วานนี้ (1 กันยายน) ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความถึงกรณีการจัดการดูแลเด็กต่างชาติในระบบการศึกษาของประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊ก ‘หวังสร้างเมือง’
โดยระบุว่า “จากข่าวเรื่องการจับกุมเด็กนักเรียนกัมพูชาวัย 13 ปีเมื่อสัปดาห์ก่อน และข่าววันก่อนที่ กทม.โพสต์เรื่องนโยบายเรื่องการเปิดโอกาสทางการศึกษา นอกจากความเห็นที่แตกต่างกันมากในโลกออนไลน์แล้ว ผมยังได้รับข้อความจากครูว่าที่โรงเรียนเริ่มถูกข่มขู่จากคนที่เห็นต่างไม่อยากให้เด็กต่างชาติเข้าเรียน มีผู้บริหารโรงเรียนบางคนก็ไม่เห็นด้วย และเริ่มเกิดความสับสนกันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ผมเลยอยากมาโพสต์ข้อความนี้ เพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์ และเพื่อสื่อสารกับทุกโรงเรียนและครูในสังกัด กทม.ถึงวัตถุประสงค์ของนโยบายนี้อีกครั้ง และเพื่อตอบข้อสงสัยที่คนถามมาเยอะๆครับ
- เด็กไทยเป็น Priority อยู่และโรงเรียนเรามีเพียงพอรองรับสำหรับทุกคนครับ
กทม.มีโรงเรียนทั้งหมด 437 โรงเรียน ส่วนใหญ่เป็นอนุบาลและประถม รองรับเด็กได้เกือบ 300,000 คน ปัจจุบันมีเด็กเรียนอยู่ 256,703 คน ยังมีที่เพียงพอสำหรับเด็กไทยทุกคนครับ มากกว่านั้นเรายังมีนโยบายที่ลดอายุการรับเข้าการศึกษาลงที่ 3 ขวบเพื่อดึงเด็กในช่วงที่พัฒนาการสูงสุด (0-5 ขวบ) เข้ามาในระบบการศึกษาให้เร็วขึ้นและดีขึ้นอีกด้วย ยังมีที่เพียงพอสำหรับทุกคนครับ
- การรับเด็กต่างชาติที่อาศัยในไทย ช่วยทำให้ผู้ปกครองขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายเพราะทุกครั้งที่รับเข้าเรียน โรงเรียนต้องตรวจใบอนุญาตทำงาน พาสปอร์ต และเอกสารยืนยันตัวตน สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวต่างชาติหลายครอบครัวเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องครับ
- หลายเคสที่เป็นผู้ลี้ภัยหรือเด็กไร้สัญชาติ เราทำงานร่วมกับ UNICEF
เพื่อดูแลไม่ให้เด็กถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และย้ำอีกครั้งว่า เรามีโรงเรียนเพียงพอสำหรับเด็กไทย การเปิดรับตรงนี้คือการเปิดห้องเรียนที่ทำได้ ไม่รบกวนทรัพยากรของเด็กไทยครับ
- การทำให้ทุกคนได้รับการศึกษา ไม่ใช่การช่วยเหลือ “เขา” อย่างเดียว แต่คือการช่วย “เรา” ด้วยครับเหมือนที่ครูประไพจากศูนย์เมอร์ซี่คลองเตยเคยเล่าไว้ว่า เมื่อเด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือ ปัญหาอาชญากรรมลดลง สังคมก็สงบขึ้น ครอบครัวก็แข็งแรงขึ้น พวกนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือเขาคนเดียว แต่ช่วยเหลือเรา สังคมดีขึ้น ทุกคนก็ดีขึ้นไปด้วย เป็นการเสียทรัพยากรเพื่อให้การศึกษา ดีกว่าเสียงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมต่างๆในอนาคต
- มากกว่าเด็กต่างชาติ เรายังดูแลเด็กความต้องการพิเศษ (พิการ) ด้วย
ตอนนี้เรามีเด็กพิการกว่า 5,000 คนในโรงเรียน กทม. และกำลังขยายการรองรับให้มากขึ้น ทั้งเพิ่มโรงเรียนสำหรับการศึกษาพิเศษ เติมครูที่จบด้านการศึกษาพิเศษ และจัดหาพี่เลี้ยงเพื่อดูแลเด็กอย่างเหมาะสมครับ
- ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
ตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 31 ต.ค. 2562 ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่า เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือไม่ ต้องได้รับสิทธิในการศึกษาอย่างเท่าเทียมครับ
Next step: เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรุงเทพฯ ประกาศเจตนารมณ์เป็น เมืองสิทธิมนุษยชน (Human Rights City) ร่วมกับกรรมการสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติ ผมเลยขอถือโอกาสนี้ ชวนสหประชาชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชน มาช่วยกันให้ความรู้ และให้แนวทางกับครูโรงเรียน กทม. เรื่องสิทธิ และย้ำถึงความสำคัญของเรื่องนี้กัน ทำให้ครูรู้วิธีในการตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้น มีแนวทางการจัดการความขัดแย้งในโรงเรียน การทำให้ทุกคนได้รับการศึกษา ไม่ใช่การช่วยเหลือ “เขา” อย่างเดียว แต่คือการช่วย “เรา” ด้วยครับ
สังคมรอด ลูกเราถึงรอด ครับ”
อ้างอิง :