อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ของไทยกำลังเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นในระดับภูมิภาค ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องปรับยุทธศาสตร์การลงทุนครั้งสำคัญ ล่าสุด บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ได้เปิดเผยแผนการลงทุนหลายโครงการ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและรับมือกับภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป
ทิศทางดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างธุรกิจบันเทิงและบริการ เพื่อเป้าหมายการเติบโตในระยะยาวและเสริมความแข็งแกร่งในฐานะศูนย์กลางการจัดงานชั้นนำของเอเชีย
แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมไมซ์ไทยจะมีแนวโน้มที่ดี โดยข้อมูลจากสมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) ในปี 2567 ระบุว่าไทยครองอันดับ 1 ในอาเซียนด้านจำนวนการจัดงานประชุมนานาชาติ แต่ผู้ประกอบการยังคงเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนภายในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายของผู้จัดงาน
ทุ่ม 3 พันล้าน แก้ปัญหาคอขวด ต่อยอดสู่ฮับไมซ์นานาชาติ
หนึ่งในความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือข้อจำกัดด้านห้องพัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดึงดูดงานประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติขนาดใหญ่ พอลล์ อธิบายว่า ที่ผ่านมามีผู้จัดงานแสดงสินค้าหลายรายอาจตัดสินใจไม่เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง เพราะไม่มีห้องพักในบริเวณใกล้เคียงเพียงพอสำหรับรองรับผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก และหันไปเลือกประเทศที่มีความพร้อมมากกว่าอย่างฮ่องกงหรือสิงคโปร์
เพื่อแก้ปัญหานี้ อิมแพ็คได้ประกาศแผนลงทุนโครงการโรงแรมมูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยเตรียมลงนามสัญญากับเชนโรงแรมฮิลตัน (Hilton) เพื่อพัฒนาโรงแรม 2 แบรนด์ในอาคารเดียวกันบริเวณริมทะเลสาบ ประกอบด้วย ฮิลตัน จำนวน 300 ห้อง และฮิลตัน การ์เด้น อินน์ (Hilton Garden Inn) จำนวน 700 ห้อง รวมทั้งสิ้น 1,000 ห้อง
แผนการก่อสร้างคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงต้นปี 2569 และแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2570 สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการขายโรงแรมโนโวเทลและไอบิสที่มีอยู่เดิมเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้
โครงการดังกล่าวเป็นเพียงเฟสแรกของเป้าหมายระยะยาว โดยมีแผนจะเพิ่มจำนวนห้องพักเป็น 3,000 ห้องภายในปี 2571 และจะขยายต่อไปจนครบ 5,000 ห้องภายใน 5 ปีหลังจากนั้น ซึ่งจะทำให้อิมแพ็คสามารถรองรับงานระดับนานาชาติขนาดใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่จากกลุ่มนักเดินทางธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง
ผนึก Live Nation พลิกสมการธุรกิจบันเทิง
อีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญคือการรุกธุรกิจบันเทิงอย่างเต็มตัว ผ่านการร่วมทุนกับไลฟ์เนชั่น (Live Nation) เพื่อจัดตั้งบริษัท อิมแพ็ค ไลฟ์เนชั่น จำกัด โดยอิมแพ็คถือหุ้น 51% และไลฟ์เนชั่น 49% ซึ่งบริษัทร่วมทุนนี้จะเข้ามาเช่าและบริหารอิมแพ็ค อารีน่า เป็นระยะเวลา 20 ปี
หัวใจของความร่วมมือนี้คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาคาร พอลล์ ชี้ว่าเป้าหมายหลักคือการปรับปรุงสถานที่เพื่อลดระยะเวลาและต้นทุนในการติดตั้งของผู้จัดงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความถี่ในการจัดงานจากเดิมสัปดาห์ละ 1 งาน เป็น 2-3 งานได้ เนื่องจากการติดตั้งคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนที่สูงถึง 50-60% ของค่าเช่าทั้งหมด
การรีโนเวทจะเริ่มขึ้นประมาณวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยจะทำเป็นส่วนๆ ไม่มีการปิดให้บริการทั้งหมด สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นคือบริการระดับพรีเมียม เช่น วีไอพีบ็อกซ์และเมมเบอร์คลับ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าชม การปรับตัวนี้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์มากขึ้น แม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ปัจจุบันความต้องการจัดคอนเสิร์ตมีสูงมากจนเต็มทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และมีการจองล่วงหน้ายาว 6-9 เดือน ทำให้ต้องขยายพื้นที่จัดงานไปยังอาคาร 5 และอาคารชาเลนเจอร์เพื่อรองรับความต้องการที่ล้นออกมา
เผชิญความท้าทายและปรับพอร์ตธุรกิจ
แม้ธุรกิจบันเทิงจะเติบโต แต่ในฝั่งของงานแสดงสินค้ากลับเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ พอลล์ ให้ข้อมูลว่า ผู้จัดงานหลายรายระบุว่าการขายพื้นที่บูธทำได้ยากขึ้น จากเดิมที่เคยขายหมดก่อนงาน 4-6 เดือน ปัจจุบันบางครั้งก่อนงาน 2 เดือนก็ยังขายไม่หมด ซึ่งสะท้อนว่าผู้ประกอบการรายย่อยอาจมีงบประมาณในการออกบูธลดลง
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้อิมแพ็คต้องปรับตัวเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและหาโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจส่วนอื่นมาชดเชย ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการปรับพอร์ตในกลุ่มธุรกิจบริการ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการตัดสินใจไม่ต่อสัญญาแฟรนไชส์โรงเรียนสอนทำอาหาร เลอโนท (LeNôtre) หลังจากบริหารมา 10 ปี และหันมาสร้างแบรนด์ของตัวเองในชื่อ อิมแพ็ค คูลิโนวา (IMPACT Culinova) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้
พอลล์ อธิบายว่าการทำแบรนด์ของตัวเองจะให้อิสระในการพัฒนาหลักสูตรที่หลากหลายและขยายไปสู่ธุรกิจที่ปรึกษาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟรนไชส์เดิมมีข้อจำกัด การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองและปรับตัวตามความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับแผนในอนาคต ยังมีการเตรียมรีโนเวทธันเดอร์โดมครั้งใหญ่ หลังจากจะกลับมาอยู่ภายใต้การบริหารของอิมแพ็คในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายปรับให้เป็นสเตเดียมที่รองรับอีเวนต์ขนาดใหญ่และคอนเสิร์ตกลางแจ้งได้ถึง 40,000 คน
อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2568 มีรายได้เติบโตกว่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 จะมีรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท
ภาพ: Thanaphat Kingkaew / Shutterstock