โลกเข้าสู่ยุค AI เต็มตัว โดยที่ทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ต้องปรับตัวและอัพสกิลเพื่อให้สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือในการเพิ่ม Productivity หรือช่วยให้มนุษย์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ AI ก็ต้องใช้อย่างรู้เท่าทัน และมนุษย์ยังจำเป็นต้องใช้ความคิดในส่วนของ Critical Thinking อยู่ ไม่สามารถให้ AI คิดแทนเราทั้งหมดได้ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องตัดสินใจในงานสำคัญๆ
ในการบรรยายพิเศษหัวข้อ ‘AI and the Future Work’ ที่จัดโดยหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (Young Executive Program บทจ. 2) ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 นั้น ณรงค์ยศ มหิทธิวาณิชชา (เบิ้ล) CEO บริษัท เดอะเว็บไฟลท์ จำกัด และ Head of Growth ของ TWF Agency ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลที่มีประสบการณ์กว่า 19 ปี ได้กล่าวถึงกระแส Generative AI ที่กำลังมาแรงในช่วงปี 2024-2025 ว่า AI สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ได้จากข้อมูลที่ได้รับการฝึกฝน เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือเสียง พร้อมเปรียบเทียบ Generative AI กับบาร์เทนเดอร์ที่ผสมวัตถุดิบต่างๆ เพื่อสร้างเครื่องดื่มสูตรใหม่
อย่างไรก็ดี ณรงค์ยศ กล่าวว่า AI ในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับ ANI (Artificial Narrow Intelligence) คือ AI ที่ทำงานเฉพาะด้าน เช่น Siri หรือ ChatGPT แต่กำลังมุ่งหน้าสู่ AGI (Artificial General Intelligence) ซึ่งจะเป็น AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์
นอกจากนี้ ณรงค์ยศยังได้เจาะลึกถึงโอกาสและความเสี่ยงของการใช้ AI โดยระบุว่า แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มหาศาล แต่ก็มีความท้าทายด้านจริยธรรม ความปลอดภัย และการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานในทางที่ผิด เช่น การใช้ Deepfake ในการหลอกลวงหรือการปลุกระดมทางการเมือง ดังนั้นผู้ใช้งานจึงควรเลือกใช้ AI ที่น่าเชื่อถือและต้องมีการตรวจสอบโดยมนุษย์ก่อนเผยแพร่เสมอ
สำหรับบทบาทของ AI ในภาคการตลาดและธุรกิจ ณรงค์ยศกล่าวว่า AI ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วย ไม่ใช่มาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด โดยงานที่เหมาะกับ AI คือ งานที่ทำซ้ำซาก (routine) ส่วนงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (critical thinking) หรือความเข้าใจเชิงธุรกิจยังคงต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือในยุคนี้ ทั้งนักศึกษาและคนทำงานจำเป็นต้องมี ทักษะการใช้เครื่องมือใหม่ๆ มีความยืดหยุ่นในการทำงาน และสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ณรงค์ยศยังได้สรุปแนวทางการเตรียมตัวสำหรับผู้นำองค์กรด้วยแนวคิด ‘4ง’ ได้แก่ เตรียมโง่ เพื่อเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่, เตรียมงาน ด้วยการทดลองและสร้าง Proof of Concept, เตรียมเงื่อนไข โดยจัดทำนโยบาย AI (AI Policy) และการกำกับดูแลที่เหมาะสม, และเตรียมเงิน เพื่อลงทุนในการฝึกอบรมและปรับปรุงระบบ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ในยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญ มนุษย์จะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สมาร์ตไซบอร์ก ผู้ที่เก่งและใช้ AI เป็น ซึ่งจะได้เปรียบที่สุด และสมาร์ตยูสเซอร์ ผู้ที่แม้ไม่เก่งมากแต่ใช้ AI เป็น จึงทำงานได้ดี ส่วน สมาร์ตฮิวแมน ผู้ที่เก่งแต่ไม่ใช้ AI และ ฮิวแมน ผู้ที่ไม่เก่งและไม่ใช้ AI จะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในตอนท้ายของการบรรยาย ณรงค์ยศ สรุปว่า AI คือโอกาสสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและสังคม หากมีการใช้งานที่ถูกวิธีและมีจริยธรรม โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า “Machines are cool but humans are warm.” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้ AI จะทำงานแทนมนุษย์ได้หลายอย่าง แต่คุณค่าและความแตกต่างยังคงต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก
สำหรับหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 นี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน, สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และหอการค้าไทย-จีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ China Media Group เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืน