×

สินค้าไทยไปสหรัฐฯ ‘เกินครึ่ง’ เสี่ยงโดนภาษีสวมสิทธิ์ หากสหรัฐฯ กำหนดเกณฑ์ Local Content 40-60%

22.08.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • จับตา ‘ทีมไทยแลนด์’ เตรียมถก ‘สหรัฐฯ’ ในประเด็นเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) และการกำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) ในสัปดาห์หน้า
  • KKP เตือนไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ย ‘สูงกว่า’ ประเทศอื่นเมื่อพิจารณาความเสี่ยง ‘เงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์’
  • พร้อมประเมิน สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ราว ‘ครึ่งหนึ่ง’ จ่อโดนภาษี Transshipment ในอัตรา 40% หากสหรัฐฯ กำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) ที่ 4060%
  • ส.อ.ท. พบมีเพียง 17 จาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ใช้ Local Content เกิน 40% เร่งรวบรวมข้อมูลส่งทีมไทยแลนด์ไปเจรจาสหรัฐฯ ต่อ
  • หอการค้าไทย ชี้ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปรับตัว พร้อมมองบวกว่า ประเด็นเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์อาจเป็นโอกาสดีที่หนุนให้ไทยปรับห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ได้

จับตา ‘ทีมไทยแลนด์’ นัดถก‘เงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์’ (Transshipment) กับสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า KKP ประเมิน สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ราว ‘ครึ่งหนึ่ง’ จ่อโดนภาษี Transshipment ในอัตรา 40% หากสหรัฐฯ กำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) ที่ 40-60%

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย คาดว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการเจรจากับทางการสหรัฐฯ เรื่องการกำหนดเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) โดยปัจจุบันสหรัฐฯ ได้นัดคุยเรื่องนี้กับหลายประเทศเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม พิชัยไม่ได้ตอบคำถามว่า ไทยขอยื่นเงื่อนไขกำหนดสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local Content) ไว้ที่ 40% หรือไม่ แต่ย้ำอีกครั้งว่า ขอให้ไทยได้เงื่อนไขเทียบเท่ากับคนอื่นไว้ก่อน เพื่อให้แข่งขันได้

 

การตอบคำถามครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า สหรัฐฯ อาจกำหนดเงื่อนไข Local Content ให้กับเวียดนามที่สัดส่วนถึง 70% และสหรัฐฯ ได้เสนอเงื่อนไข 50-60% ให้กับประเทศไทย

 

ขณะที่ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ยังต้องรอรายละเอียดจากทางสหรัฐฯ ว่าจะกำหนดสัดส่วน Local Content เท่าไหร่ แต่ยอมรับว่า ถ้ากำหนดสัดส่วนไว้ที่ 40% ถือว่า ‘พอทำได้’ และอัตราที่ 50% ‘พอทน’ แต่ถ้า 60% ‘น่าจะยาก’

 

KKP เตือนสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐ ‘ครึ่งหนึ่ง’ จ่อเจออัตราสวมสิทธิ์

 

KKP เตือนไทยมีแนวโน้มถูกเก็บภาษีเฉลี่ย ‘สูงกว่า’ ประเทศอื่นเมื่อพิจารณาความเสี่ยง ‘เงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์’ (Transshipment) เนื่องจาก สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีในอัตรา 40%

 

ตามการวิเคราะห์ของ KKP Research พบว่า หากไทยโดนสหรัฐฯ กำหนด Local Content ในสัดส่วน 50-60% จริง นั่นเท่ากับว่า สินค้าส่งออกไทยกว่าครึ่ง จะถูกเรียกเก็บภาษี Transshipment ในอัตรา 40% ทำให้ผลการเจรจาที่บรรลุข้อตกลง 19% ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ข่าวดีระยะสั้น

 

สำหรับการพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจ KKP Research ได้แบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่ม จำแนกตามสัดส่วนการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศ (Value Added) หรือการใช้ Local Content

 

กลุ่มปลอดภัย: ใช้ Local Content สูงกว่า 60%

 

กลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศสูง (High Value Added) หรือเป็นกลุ่มสินค้าที่ใช้ Local Content ผลิตในไทยมากกว่า 60% ขึ้นไป เช่น อาหาร ข้าว ยางพารา ถุงมือยาง อาหารสัตว์ กระเป๋า เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์และส่วนประกอบ น้ำผลไม้ HDD และ ยางรถยนต์ โดยกลุ่มนี้ ครองส่วนแบ่งการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ราว 15-30%

 

ทั้งนี้ HDD และ ยางรถยนต์ เป็นสินค้าก้ำกึ่งหรือมีความเสี่ยงที่จะถูกจัดเป็นสินค้าที่มูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศปานกลาง (Medium Value Added)

 

กลุ่มเสี่ยงปานกลาง: ใช้ Local Content 40-60%

 

กลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศปานกลาง (Medium Value Added) หรือกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการผลิตในประเทศตั้งแต่ 40-60% เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ แอร์ ตู้เย็น Converter จอมอนิเตอร์ เตาอบ แผงวงจรไฟฟ้า และ เครื่องซักผ้า โดยสินค้ากลุ่มนี้ ครองส่วนแบ่งการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ราว 10-25%

 

กลุ่มเสี่ยงสูง: ใช้ Local Content ต่ำกว่า 40%

 

กลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในประเทศต่ำ (Low Value Added) หรือกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการผลิตในประเทศต่ำกว่า 40% เช่น Solar Panel และ Wi-Fi Routers แม้กลุ่มนี้มีสัดส่วนการผลิตในประเทศต่ำ แต่ครองส่วนแบ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 30% และเป็นกลุ่มที่เสี่ยงจะถูกเรียกเก็บภาษี Transshipment มากที่สุด

 

 

สหรัฐฯ ยกเว้นเก็บภาษีสินค้าไทยกว่า 1 ใน 3

 

ทั้งนี้ KKP Research ชี้ว่า สหรัฐฯ ยังมีรายการยกเว้นภาษีนำเข้า (Exemption List) ในสินค้าบางรายการ ซึ่งครอบคลุมสินค้าส่งออกไทยกว่า 1 ใน 3 โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ยังผลิตไม่ได้ เช่น สมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ดิสก์

 

โดย KKP ประเมินว่า หากสหรัฐฯ ยังไม่ยกเลิก Exemption List ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งปีอยู่ที่ 0.3-0.7% แต่ถ้า Exemption List ถูกยกเลิก ผลกระทบก็จะรุนแรงขึ้น โดยกระทบประมาณ 0.7-1.1% ต่อ GDP ทั้งปี

 

ดังนั้น สุดท้าย ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับการเจรจาของทีมไทยแลนด์ และการตัดสินใจของสหรัฐฯ ว่าจะคงหรือยกเลิก Exemption List ในปีนี้หรือไม่

 

ส.อ.ท. เร่งเช็กลิสต์! พบ 17 กลุ่มอุตฯ ใช้ Local Content เกิน 40%

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาษีตอบโต้ 19% เป็นแค่การเปิดเกมแรก แต่หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือ การกำหนดให้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทย ที่ต้องใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ในสัดส่วนที่มากกว่า 40%

 

โดยจากการหารือกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า มี 17 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ Local Content หรือกลุ่มที่ใช้ RVC (Regional Value Content) มากกว่า 40% ได้แก่

 

  • กลุ่มไม้อัด หลังคาและอุปกรณ์ แก้วและกระจก ใช้ Local Content สูงมากกว่า 80%
  • เครื่องมือแพทย์ ปิโตรเคมี 70%
  • ยาง ยานยนต์ สมุนไพร เยื่อและกระดาษ ชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ อัญมณี เครื่องประดับ 60%
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเฟอร์นิเจอร์ หนังและผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เคมี ต่อเรือ สิ่งทอ 45%
  • เครื่องนุ่งห่ม 40%

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มที่ ‘น่าห่วง’ เพราะมีสัดส่วนใช้ Local Content ต่ำกว่า 40%

 

  • ยา 35%
  • อาหารและเครื่องดื่ม 38%
  • เครื่องสำอาง 15%
  • ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 22.5% (ซึ่งเป็นกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯจำนวนมาก)
  • เหล็ก 20% โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม 7.5%

 

เกรียงไกร ระบุอีกว่า เราต้องรวบรวมข้อมูลแต่ละกลุ่มให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะส่งให้รัฐบาลโดยทีมไทยแลนด์ ไปเจรจาให้ทางสหรัฐฯ ให้ทราบเป็นรายอุตสาหกรรมว่า กลุ่มไหนใช้ Local Content เท่าไหร่ เพื่อให้สหรัฐพิจารณาประกอบการคิดอัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่อัตราเพดาน 19%

 

ส่วนกลุ่มที่ใช้ Local Content น้อย สหรัฐจะมีการเก็บภาษีกรณีการสวมสิทธิเพื่อส่งออกที่ 40% ส่วนนี้จะมีการต่อรอง เช่น เพิ่มสัดส่วนด้วยการนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ จากเกาหลี จากญี่ปุ่น ยกเว้นจีน ได้หรือไม่ ต้องดูว่า หากยื่นข้อเสนอนี้ สหรัฐฯ จะยอมหรือไม่

 

“เป้าหมายของสหรัฐฯ จะสกัดแค่สินค้าจากจีน หรือจะสกัดทุกประเทศ ก็ต้องมาคุยกัน เราก็ต้องเอาข้อมูลเหล่านี้รีบไปคุยกับสหรัฐฯ” เกรียงไกร กล่าว

 

เอกชนจับตา สหรัฐฯ บีบไทย Local content แนะใช้โอกาสปรับ Value Chain

 

ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เศรษฐกิจหลังจากนี้ต้องยอมรับว่า ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปรับตัว โดยหากไม่ปรับก็ต้องขาดทุน ล้มละลาย และเจ๊งไปในที่สุด ดังนั้นอีกมุมหนึ่ง ประเด็นเรื่องเงื่อนไขสินค้าสวมสิทธิ์จึงอาจเป็นโอกาสดีที่ไทยจะปรับห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)

 

“ผมมองอีกมุมในแง่ดี ประเด็น Transshipment น่าห่วงว่า ที่ผ่านมา เรามีตัวเลขสินค้าสวมสิทธิ์ส่งออกไปสหรัฐฯ มากถึง 5 แสนล้านบาท Value Chain ของไทยแทบไม่มีเลย ดังนั้น ภาษีทรัมป์ก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ SME ไทย ปรับ Value Chain อุตสาหกรรมการลงทุนต่างประเทศ เรื่องนี้สำคัญมาก”

 

พร้อมกล่าวอีกว่า ในอนาคตไม่ว่านักลงทุนจีนหรือสหภาพยุโรป หรือนักลงทุนชาติใดก็แล้วแต่ ที่ต้องการในการลงทุนในไทย ต้องบังคับใช้เกณฑ์ Local Content 25-40% นี่คือจุดที่ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ 5 แสนล้านบาทเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย

 

ดังนั้น “เราต้องมาคิดแล้วว่า จะดึงห่วงโซ่เข้าไปใน SME ได้อย่างไร ถัดมาคือ หากเปิดการค้าเสรี ต้นทุนการผลิตจะต้องถูกลง และต้องเปิดรับฟังความเห็นให้กว้างขวาง”

 

“ต้องยอมรับว่า นิยามของ Transshipment ยังไม่ชัดเจน เรื่อง Local Content จึงขึ้นอยู่กับการเจรจาของสหรัฐฯและจีนที่ไม่ลงตัว เพราะจีนไม่ยอม อย่างเวียดนาม ทราบว่าเจอไปถึง 70% ก็จะกระทบส่งออก โดยเฉพาะที่มีโรงงานจีน ก็ส่งออกลำบากขึ้น”

 

ฝากรัฐบาลวางมาสเตอร์แพลนระยะยาว

 

นัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทย เซมิคอนดักเตอร์ ห่วงประเด็น Transshipment ที่จะกลายเป็นอีกความไม่แน่นอน พร้อมฝากถึงรัฐบาลว่า ควรงบสนับสนุนต่างๆ ควรวางมาสเตอร์แพลนระยะยาว รวมถึงวางแผน Local Purchase (การจัดซื้อ) ไว้ 2 มุม ทั้ง ความต่อเนื่องของอุตสาหกรรม โดยการเพิ่มมาตรการ Local content ควรเพิ่ม Local Knowhow และ Local Chip ถ้าใครทำ ก็ควรได้สิทธิประโยชน์มากขึ้น
สอดคล้อง เสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (PCB) ระบุว่า อุตสาหกรรมนี้เป็น ‘Long Term เกม’ ความเสี่ยงที่น่าห่วงจึงไม่ใช่แค่เรื่องภาษี 19% อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “ถิ่นกำเนิดสินค้า”

 

นอกจากสินค้า ห่วงว่าสหรัฐฯ อาจต้องลงลึกไปถึง ‘ผู้ถือหุ้น’ อยากฝากรัฐบาลให้ดูแลเพราะบางเรื่องละเอียดอ่อน และควรคิดวางแผนปรับโครงสร้างการผลิตอย่างจริงจัง เพราะเรื่องอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (NTB) เป็นเรื่องที่แก้ยาก แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นโอกาสปรับของอุตสาหกรรมไทยด้วย

 

BOI อัดมาตรการกระตุ้นกลุ่ม EV-เครื่องใช้ไฟฟ้า ใช้ Local content ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี

 

สำหรับ เงื่อนไขการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) ที่ผ่านมา บีโอไอได้กำหนดไว้ที่ 40% ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ใช้ Local Content อยู่ที่ 45-55% เกินกว่าที่กำหนด หรือในบางอุตสาหกรรมสามารถใช้ Local Content สูงถึง 80%

 

อย่างไรก็ตาม นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย เมื่อเร็วๆนี้ว่า ได้ออกมาตรการกระตุ้น “ส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนใน 2 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า ซื้อวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ

 

โดยเฉพาะกลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า BEV, PHEV, ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยกำหนดสัดส่วน หากโครงการยานยนต์ไฟฟ้า BEV และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 40% PHEV ที่มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 45% และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่า 15% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิต ในไทย (Made in Thailand: MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้ นิติบุคคลในอัตรา 50% เพิ่มเติมอีก 2 ปี

 

รวมถึง กำหนดสัดส่วนการจ้างงานบุคลากรไทยมากกว่า 70% ในกิจการผลิต และกำหนดเงื่อนไขเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000-150,000 บาท สำหรับบุคลากรต่างชาติ เพื่อคัดกรองเฉพาะต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญสูง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising