ย้อนไปเมื่อปลายปี 2565 คนในแวดวงตลาดทุนไทยน่าจะได้ยินชื่อหุ้น MORE หรือ บริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ที่ถูกถล่มขายจนราคาหุ้นดิ่งลงจากราว 1.60 บาท ไปแตะระดับ 0.19 บาท
หากดูผิวเผินเหตุการณ์ครั้งนั้นเหมือนจะเป็นปั่นหุ้นธรรมดา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นปฏิบัติการที่ซับซ้อนและถูกวางแผนมาอย่างดีจนอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘เกมปล้นโบรกเกอร์’ และก่อนจะไปถึงบทสรุปของคดี หลายคนอาจยังสงสัยว่าเหตุการณ์ของหุ้น MORE เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ย้อนรอย ‘เกมปล้นโบรกเกอร์’ กลโกงครั้งประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปก่อนหน้าปี 2565 กลุ่มผู้กระทำผิดได้ใช้เวลากว่า 2 ปีในการสร้างราคาหุ้น MORE (ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากหุ้น DNA) จากราคาหลักสตางค์ให้พุ่งขึ้นไปเกือบ 3 บาท ทำให้มูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นจากราว 2 พันล้านบาท สู่ระดับ 2 หมื่นล้านบาท
จุดไคลแมกซ์เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เมื่อมีการตั้งคำสั่งซื้อหุ้น MORE จำนวนมหาศาลที่ราคาเปิด (ATO) คิดเป็นมูลค่าเกือบ 4,500 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กว่า 10 แห่ง โดยใช้บัญชีที่เรียกว่า Cash Account ซึ่งเป็นบัญชีที่เปิดให้นักลงทุนสามารถ ‘ลงทุนก่อน จ่ายทีหลัง’ โดยโบรกเกอร์จะชำระราคาในอีก 2 วันทำการ (T+2)
ช่องโหว่อยู่ที่การใช้หุ้น MORE ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นแล้วนั่นเอง มาเป็นหลักประกันในการขอวงเงินซื้อขายกับโบรกเกอร์ เมื่อคำสั่งซื้อจับคู่สำเร็จ กลุ่มผู้กระทำผิดซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นและเป็นผู้ขาย ก็เทขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมาพร้อมกัน ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงติดฟลอร์ทันที
สุดท้าย กลุ่มผู้ซื้อซึ่งเป็นพวกเดียวกันก็ไม่ชำระเงินค่าซื้อหุ้นในวัน T+2 ทำให้โบรกเกอร์ที่อนุมัติวงเงินต้องกลายเป็นผู้รับความเสียหาย เพราะต้องนำเงินของบริษัทไปสำรองจ่ายให้กับฝั่งผู้ขาย แต่ไม่ได้รับเงินจากฝั่งผู้ซื้อ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกันเกือบ 4,500 ล้านบาท
เปิดไทม์ไลน์ปฏิบัติการสกัดความเสียหาย และการทำงานร่วมกันของหน่วยงาน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นของตลาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในวิกฤตครั้งนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็วและเป็นระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงาน ก.ล.ต., สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO), ปปง., ปอศ., DSI, และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)
- 10-11 พฤศจิกายน 2565: ราคาหุ้น MORE ดิ่งลงติดฟลอร์ 2 วันติดต่อกัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แจ้งเตือนโบรกเกอร์ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
- 13 พฤศจิกายน 2565: กลุ่มโบรกเกอร์ผู้เสียหายได้ประสานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อแจ้งพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน
- 14 พฤศจิกายน 2565: กลุ่มโบรกเกอร์ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ขณะที่ ตลท. สั่งพักการซื้อขาย (SP) หุ้น MORE เป็นเวลา 5 วัน
- 21 พฤศจิกายน 2565: (จุดเปลี่ยนสำคัญ) ก่อนเปิดตลาดภาคเช้า ปปง. ได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ อภิมุข บำรุงวงศ์ และพวก ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว เป็นการสกัดกั้นเส้นทางการเงินได้อย่างทันท่วงที
- 10 กุมภาพันธ์ 2566: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษผู้กระทำผิดฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ MORE ต่อ ปอศ.
- 27 มิถุนายน 2566: ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคลเพิ่มเติมและขยายช่วงเวลาการกระทำผิด ย้อนหลังไปถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565
- 4 ตุลาคม 2566: DSI รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ
DSI ใช้กฎหมายฟอกเงิน-อั้งยี่ซ่องโจร ลุยแกะรอยเครือข่าย
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า DSI ได้รวบรวมหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการกระทำความผิดอย่างเป็นระบบและเชื่อมโยงกัน ทั้งเส้นทางการเงิน กลุ่มแชตไลน์ที่ใช้วางแผน และ IP Address ที่ใช้เทรดหุ้นซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ต้องหาอยู่ในสถานที่เดียวกัน
นอกจากความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ แล้ว DSI ยังได้ใช้กฎหมายอื่นเข้าดำเนินคดีด้วย ได้แก่ กฎหมายฟอกเงิน และความผิดฐาน อั้งยี่ ซ่องโจร เนื่องจากผู้ต้องหามีการรวมตัวกันเพื่อวางแผนกระทำความผิดอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยความชำนาญในวงการซื้อขายหลักทรัพย์
จากการสอบสวน DSI ได้แบ่งผู้ต้องหาออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มผู้คิดวางแผน 2. กลุ่มตัวการและผู้สนับสนุน (ผู้ที่ส่งคำสั่งซื้อขาย) และ 3. กลุ่มเจ้าของบัญชี (ผู้ที่ให้ยืมบัญชีมาใช้)
ด้าน พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กล่าวเสริมว่า คดีนี้สามารถมีความเห็นสั่งฟ้องผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 42 ราย และยึดอายัดทรัพย์สินได้สูงถึง 4,500 ล้านบาท ถือเป็นคดีปั่นหุ้นที่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้จำนวนมากที่สุดคดีหนึ่ง
บทเรียนราคาแพง: ตลาดทุนไทยยกระดับเกราะป้องกันอย่างไร?
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ตลาดทุนไทยต้องยกระดับมาตรการป้องกันให้แข็งแกร่งขึ้น
“ตลท. ได้ยกระดับมาตรการกำกับดูแลด้วยการปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อาทิ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์, มาตรการ Minimum Resting Time, การเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันในบัญชีมาร์จิน และการปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับ NVDR เพื่อป้องกันการใช้ในทางที่ผิด” อัสสเดชกล่าว
ขณะที่ พิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า เพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย ASCO ได้ผลักดันให้มีการจัดตั้ง Securities Data Exchange Platform (SDEP) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) เพื่อให้โบรกเกอร์สามารถรับทราบข้อมูลความเสี่ยงของลูกค้าในระดับอุตสาหกรรมได้ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569
บทสรุปกลโกงปล้นโบรกเกอร์
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสำนักงาน ปปง., DSI, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) แถลงความคืบหน้าสำคัญในการดำเนินการคดีหุ้น MORE และการยกระดับการทำงานร่วมกันเพื่อตลาดทุนไทย
เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ความสำเร็จจากการประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงาน (Inter-agency Cooperation Model) ในการดำเนินคดีหุ้น MORE อันนำไปสู่การป้องกันความเสียหายและติดตามทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถระงับธุรกรรมต้องสงสัยได้ภายในวันเดียว ลดเวลาดำเนินการจากเดิมที่ใช้เวลา 2-3 วัน ส่งผลให้สามารถตัดวงจรอาชญากรรม ยับยั้งการกระทำผิดทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยด้วยความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นระบบ
สำหรับคดีหุ้น MORE ศาลมีคำสั่งคืน หรือชดใช้ ทรัพย์สินให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหาย 10 ราย รวมมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลและอำนาจหน้าที่ระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยมีความน่าเชื่อถือและมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว
รวมทั้งการดำเนินคดีทางอาญา ฐานร่วมกันสร้างราคาหลักทรัพย์ MORE และ MORE-R ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง รวมทั้งความผิดฐานเป็นอั้งยี่ และซ่องโจร ซึ่งอัยการได้นำตัวผู้ต้องหา 28 ราย ส่งฟ้องต่อศาลอาญาโดยศาลไม่ให้ประกันตัว ส่วนอีก 14 ราย ไม่เดินทางมาที่ศาล
ทั้งนี้ อัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีเมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา มีความคืบหน้าคือ ผู้ต้องหา 9 ราย ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด จึงได้รับการเลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็น 9 กันยายนนี้ ส่วนอีก 4 ราย ไม่มาตามนัดโดยอ้างเหตุผลอื่น อัยการได้ให้ DSI ติดตามตัวมาส่งฟ้อง และนัดอีกครั้ง 9 กันยายนนี้เช่นกัน ส่วนอภิมุข บำรุงวงศ์ อัยการได้มีคำสั่งให้ DSI ขอออกหมายจับไปตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา
“การทำงานในคดี MORE ถือเป็นการสร้างมิติการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะเรื่องนี้หากตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือโบรกเกอร์เคลื่อนที่ช้า ความเสียหายเกิดขึ้นแน่นอน” เทพสุกล่าว
สำหรับกระบวนการคืนทรัพย์สินที่ได้มีการอายัดไว้ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ที่ได้รับความเสียหาย คำสั่งศาลแพ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลา 30 วัน หากพ้นกำหนดแล้วไม่มีการยื่นอุทธรณ์ ปปง. จะดำเนินการตามคำสั่งศาลและประสานงานกับบริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหายเพื่อดำเนินการคืนทรัพย์สินต่อไป
กรณีหุ้น MORE แม้จะเป็นบาดแผลครั้งใหญ่ของตลาดทุนไทย แต่ก็ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ที่สามารถติดตาม ไล่ล่า และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมทั้งนำไปสู่การพัฒนากลไกป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าตลาดทุนไทยจะมีความโปร่งใสและเป็นธรรมสำหรับนักลงทุนทุกคนต่อไป