จุดเปลี่ยนการค้าโลก สหรัฐฯ เลือก ‘หันหลัง’ ให้โลกาภิวัตน์ ไทยเสี่ยงเจ็บหนัก เหตุพึ่งส่งออกสูง KKP Research แนะเร่งหา Growth Engine ใหม่ ผ่านการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หวังดึง FDI คุณภาพสูง ยกระดับห่วงโซ่อุปทานในประเทศ
KKP Research นำโดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) พร้อมด้วยนักเศรษฐศาสตร์ ลัทธกิตต์ ลาภอุดมการ และเคนเน็ท โดนัลท์ นีลเวล ได้นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
โดยชี้ว่า ไทยต้องเร่งหา Growth Engine ตัวใหม่ เริ่มจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อดึงดูด FDI คุณภาพสูง มายกระดับเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังปรับรูปโฉมใหม่ โดยจะไม่กลับสู่โลกาภิวัตน์ (Globalization) แบบเดิม
ภาษี 19% ข่าวดีระยะสั้น
แม้ว่าผลการเจรจาภาษีที่ไทยได้รับจะดีกว่าที่หลายฝ่ายกังวล โดยไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค แต่ KKP Research ประเมินว่ายังวางใจไม่ได้ จากความเสี่ยง 2 ประการคือ ไทยเสี่ยงถูกแทนที่สินค้าโดยประเทศอื่นๆ กับเสี่ยงไม่ผ่านเกณฑ์ ‘Transshipment’
ในความเสี่ยงประการแรก สินค้าไทยอาจถูกทดแทนจากประเทศอื่นได้ง่าย เนื่องจากสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ โดยสินค้ากลุ่มเสี่ยงของไทย ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องประดับ ที่ไทยครองส่วนแบ่งค่อนข้างน้อย ขณะที่ ยางรถยนต์ ข้าว และอาหารสัตว์ กลุ่มนี้ไทยอาจได้เปรียบ เพราะเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจหาอุปทานทดแทนได้ยากกว่า
ความเสี่ยงประการต่อมาคือ เงื่อนไขของการ ‘สวมสิทธิ์’ (Transshipment) แม้จะยังไม่ชัดเจน แต่สินค้าที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์อาจถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40% ซึ่งไทยมีความเสี่ยงสูงมากในการถูกเก็บภาษี Transshipment เนื่องจากสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่ มีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศ (Domestic Value Added) เพียง 57% ถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่ยังดูดีกว่าเวียดนามและมาเลเซีย
นอกจากนี้ การเข้มงวดเรื่อง Transshipment อาจส่งผลลบต่อความน่าสนใจในการลงทุนจากต่างชาติในระยะสั้น ซึ่งอาจทำให้จีน ไม่จำเป็นต้องเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย เพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ
ภาษีสหรัฐฯ อาจไม่กระทบมาก ต้องแยกตามกลุ่มสินค้า
KKP Research ชี้ว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจไม่กระทบต่อภาคการผลิตของไทยมากนัก เพราะหากพิจารณาตามโครงสร้างเศรษฐกิจไทย พบว่า แนวโน้มการส่งออก แม้จะมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเติบโตสูงกว่า 70% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมในประเทศกลับคงที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ แท้จริงแล้วไม่ได้ถูกผลิตในประเทศ
ดังนั้น KKP Research จึงจัดสินค้าเป็น 3 กลุ่มเพื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจ แบ่งเป็น
- High Value Added (>60%) ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง หรือผลิตในประเทศมากกว่า 60% ขึ้นไป เช่น อาหาร, ข้าว, ยางพารา, ถุงมือยาง, อาหารสัตว์, กระเป๋า, เฟอร์นิเจอร์, รถยนต์และส่วนประกอบ, น้ำผลไม้, HDD, ยางรถยนต์ โดยสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 15-30% และคาดว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19%
- Medium Value Added (40-60%) เป็นกลุ่มสินค้าในกลุ่มตรงกลาง มีสัดส่วนการผลิตในประเทศตั้งแต่ 40-60% ครองส่วนแบ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 10-25% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสหรัฐฯ ยังไม่ได้ระบุเกณฑ์ RVC ที่ชัดเจน สินค้ากลุ่มนี้จึงมี ‘ความเสี่ยง’ ที่จะถูกเก็บภาษี Transshipment ได้ และเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังต้องจับตา ประกอบด้วย ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, แอร์, ตู้เย็น, Converter, จอมอนิเตอร์, เตาอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, เครื่องซักผ้า
- Low Value Added (<40%) เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำมาก แต่ครองส่วนแบ่งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 30% ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะถูกเรียกเก็บภาษี Transshipment อย่างแน่นอน ประกอบด้วย Solar Panel, Wi-Fi Routers
HDD และยางรถยนต์อาจถูกเก็บภาษี Transshipment หากสหรัฐฯ มีนิยาม Regional Value Content หรือ RVC ที่เข้มงวด เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเกินเกณฑ์มาไม่มาก
ทั้งนี้ KKP Research ชี้ว่า สหรัฐฯ ยังมี Exemption List ซึ่งเป็นรายการยกเว้นภาษีนำเข้าในสินค้าบางรายการ ครอบคลุมสินค้าส่งออกไทยกว่า 1 ใน 3 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ยังผลิตไม่ได้ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ดิสก์
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก หาก Exemption List ยังไม่ถูกยกเลิกภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะกระทบเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ 0.3-0.7% แต่ถ้า Exemption List ถูกยกเลิก ผลกระทบก็จะรุนแรงขึ้น โดยกระทบประมาณ 0.7-1.1% ต่อ GDP ทั้งปี
ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ก่อนเข้าสู่ Lost Decade
KKP Research ระบุว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ที่ปัญหาในระยะสั้นอย่างมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ หรือวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในครั้งก่อน แต่เป็นความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวที่กำลังตกต่ำลงมาโดยตลอด นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง
อย่างไรก็ตาม ไทยสามารถพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ให้กลายเป็นโอกาสในการทบทวนนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ได้อีกครั้ง จากที่ตกต่ำลงมายาวนาน โดยปี 2001-2005 ไทยเคยมีสัดส่วน FDI สูงถึง 40.6% เมื่อเทียบกับอาเซียน แต่ 2016-2021 กลับเหลือเพียง 8.9% เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะดึงดูดได้ต่ำแล้ว FDI ที่ได้มาก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่ามากนัก
ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องดึงดูด FDI โดยเน้นคุณภาพมากขึ้น ไทยต้องปรับเป้าหมายการดึงดูด FDI ให้เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว
ไทยจำเป็นต้องแก้ไขอุปสรรคในการดึงดูด FDI คุณภาพ ผ่านการยกระดับทักษะและการศึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไร้ฝีมือ ปรับปรุงกฎระเบียบการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูง รวมถึงแก้ไขปัญหาเชิงสถาบัน เช่น คอร์รัปชัน, หลักนิติธรรม, และการผูกขาด
เพราะหากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับ “ทศวรรษที่หายไป” (Lost Decade) หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น ซึ่ง KKP Research ชี้ว่า ปัญหาของไทยไม่ใช่ภาวะวิกฤตเฉียบพลันแบบวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แต่เป็นการซึมลึกและไหลลงอย่างช้าๆ