“โลกเปลี่ยนเร็ว คนไทยต้องเปลี่ยนให้ทัน”
นี่คือมุมมองตรงไปตรงมาจาก สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ที่เชื่อว่าทุกวันนี้โลกเผชิญทั้งความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัย บทบาทของ AI ที่พร้อมเข้ามาแทนที่มนุษย์ หรือสภาวะโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนไม่มีใครคาดเดาได้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น การพัฒนาคนไทยให้พร้อมรับมืออนาคต จึงไม่ใช่เพียง ‘ทางเลือก’ แต่คือ ‘ความจำเป็น’ ที่กระทรวงอว. ต้องเร่งทำทันที
แม้หลายคนจะคุ้นชื่อกระทรวง อว. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลมหาวิทยาลัย แต่ในความเป็นจริง กระทรวงนี้ทำหน้าที่ที่เปรียบเสมือน ‘ฟันเฟืองหลัก’ ที่มุ่งปั้นคน สร้างนวัตกรรม และเชื่อมโยงหน่วยงานที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
วันนี้ THE STANDARD มีโอกาสได้พูดคุยกับ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เพื่อเจาะลึกบทบาทการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของกระทรวง อว. พันธกิจสำคัญที่มุ่งผลักดัน และสารที่ต้องการสื่อผ่าน ‘อว.แฟร์ 2025’ เวทีแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ตั้งใจจุดประกายแรงบันดาลใจ และเปิดมุมมองใหม่ต่ออนาคตของประเทศ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-17 สิงหาคมนี้
ภารกิจและบทบาทของกระทรวง อว.
แม้จะเพิ่งก่อตั้งได้เพียง 6 ปี แต่กระทรวง อว. ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของประเทศ เพราะเป็นศูนย์รวมของหน่วยงานเฉพาะด้านที่ทรงพลัง ทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รวมถึงหน่วยงานชั้นนำอีกมากมายในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)
สุดาวรรณเริ่มอธิบายอย่างชัดเจนว่า ภารกิจของกระทรวงมี 2 แกนหลัก ที่เดินหน้าควบคู่กันไป
“ด้านแรก คือการพัฒนาคน เราทำงานกับสถาบันการศึกษาอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตร การสร้าง Sandbox เพื่อทดลอง เฟ้นหากลไก ระเบียบ และวิธีการจัดการศึกษาที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของเกณฑ์มาตรฐานเดิม ไปจนถึงการให้ทุนเพื่อสนับสนุนในด้านที่นักศึกษาต้องการและในสาขาที่ประเทศต้องการจริงๆ
“ด้านที่สอง คือเรื่องของการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเรามองว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องเร่งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เราทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุข และด้านอื่นๆ เพื่อทดลองทำเป็นโครงการนำร่องให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แล้วจึงส่งต่อให้แต่ละหน่วยงานไปขยายผล”
นอกจากภารกิจทั้งสอง กระทรวง อว. ยังทำหน้าที่เป็น ‘สะพานแห่งโอกาส’ เชื่อมภาครัฐ เอกชน และประชาชน เข้าหากัน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าถึงทรัพยากรที่อาจไม่มีอยู่ในมือ
“บางครั้งเอกชนมีทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญ และข้อมูลเชิงลึก แต่กลับขาดทุนสนับสนุนหรือการผลักดันเชิงนโยบาย ขณะที่ฝั่งเราในฐานะรัฐ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ที่พร้อมต่อยอดอยู่แล้ว การจับคู่และเชื่อมโยงกันจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้น” สุดาวรรณขยายความ
‘อว.แฟร์ 2025’ พื้นที่แห่งโอกาสที่พร้อมจุดประกายทุกไอเดีย
เพื่อต่อยอดภารกิจสำคัญข้างต้น กระทรวง อว. จึงจัดงาน ‘อว.แฟร์ 2025’ ขึ้น เป็นเวทีสะท้อนบทบาทในฐานะ ‘ผู้นำแห่งการขับเคลื่อนประเทศด้วยความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม’ โดยในปีนี้มาในธีม ‘Creators of Tomorrow คิดสร้างสรรค์ คิดส์สร้างอนาคต’ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ค้นหาตัวตนและแรงบันดาลใจ ให้ผู้ใหญ่ได้อัปเดตความรู้ด้านเทคโนโลยีล่าสุด และให้นวัตกรได้ต่อยอดไอเดียใหม่ๆ สู่การสร้างผลงานที่มีศักยภาพในตลาดโลก
สุดาวรรณ เน้นย้ำถึงเป้าหมายว่า “อยากให้งานนี้เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกให้ทุกวัย ตั้งแต่เด็กที่กำลังมองหาว่าอนาคตอยากเติบโตเป็นอะไร ได้ลองมาสำรวจว่าชอบหรือไม่ชอบ ไปจนถึงกลุ่มนวัตกรที่อยากอัปเดตนวัตกรรม มองหาไอเดียใหม่ๆ หรือหาคอนเน็กชันที่สามารถต่อยอดได้ รวมถึงผู้ปกครองที่อยากรู้ว่าโลกทุกวันนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว”
ทักษะที่ต้องมีในโลกที่เปลี่ยนเร็ว
หนึ่งในไฮไลต์ของงาน อว.แฟร์ 2025 ปีนี้ คือ ‘ห้องทดลองการใช้ชีวิตแห่งอนาคต’ ให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสนวัตกรรมจริงและร่วมทำกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อให้เห็นชัดว่าทักษะใดจำเป็นต่อการอยู่รอดในโลกปัจจุบัน
ในมุมมองของสุดาวรรณ ทักษะสำคัญที่ทุกคนต้องมีคือการรู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็น โดยเฉพาะ AI
“สิ่งสำคัญคือการมี AI Literacy หรือความรู้เท่าทันและใช้ AI อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สามารถใช้ AI มาช่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และชีวิตประจำวัน”
สุดาวรรณมองว่าทักษะนี้ต้องถูกปลูกฝังและขยายสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดงาน อว.แฟร์ เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้คนไทยได้อัปเดตองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ทุกปี เพื่อต่อยอดสู่เป้าหมายระยะยาวของกระทรวงอว. คือการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)
“อว.แฟร์จะเป็นเวทีขับเคลื่อนการสร้างสังคมนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ และการสร้างโอกาสทางอาชีพ ในอนาคต อว.แฟร์จะขยายการรับรู้ไปสู่ภูมิภาค ท้องถิ่น และเครือข่ายเยาวชนทั่วประเทศ เพื่อให้วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมอยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการผลักดัน Lifelong Learning ให้ประชาชนทุกวัยได้เรียนรู้ตลอดชีวิต”
วางรากฐานอนาคตไทย: พันธกิจระยะยาวของกระทรวง อว.
เมื่อถามถึงทิศทางสำคัญที่ต้องเร่งเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สุดาวรรณตอบอย่างมั่นใจว่า
“ต้องเตรียมคนให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะเป็นหัวใจในการสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะในสาขาใหม่ที่กำลังเติบโต ไม่ว่าจะเป็น Green Economy, AI, Deep Tech, ยานยนต์สมัยใหม่, อาหารแห่งอนาคต, เศรษฐกิจอวกาศ, เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก ขณะเดียวกัน เราต้องเร่งพัฒนาระบบนิเวศทั้งหมดให้พร้อม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และการสนับสนุนการลงทุน เพื่อให้ประเทศไทยคว้าโอกาสสำคัญเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที”
นอกจากนี้ สุดาวรรณยังฉายภาพพันธกิจแห่งอนาคตของกระทรวง อว. อย่างชัดเจน ว่าจะเดินหน้าทำงานในลักษณะบูรณาการมากขึ้น โดยใช้เครือข่ายมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยทั่วประเทศเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน
“ภายใต้กระทรวง อว. มีมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมาก สิ่งที่เราอยากเห็นไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางวิชาการ แต่ต้องมีความเสมอภาคและความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในกลุ่มเปราะบาง ที่สำคัญ มหาวิทยาลัยควรทำหน้าที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ของสังคม และเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาให้กับชุมชนในพื้นที่ของตนเอง”
ในด้านงานวิจัย สุดาวรรณเน้นย้ำว่านวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเสมอไป แต่อยู่ที่การตอบโจทย์ปัญหาของประเทศและสร้างประโยชน์ได้จริง
“เราอาจเริ่มจากสิ่งที่จับต้องได้ก่อน เช่น การพัฒนาเครื่องจักรช่วยเกษตรกรเพื่อลดการพึ่งแรงงานคน หรือการนำเทคโนโลยีที่เรามีอยู่แล้ว มาต่อยอดให้เข้ากับจุดแข็งของประเทศ หลายครั้งคำตอบอยู่ตรงหน้าเรา เพียงแค่ยังไม่ได้นำมาจับคู่และเชื่อมโยงให้เกิดการใช้งานจริง”
สุดาวรรณทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า การลงทุนในคนอาจไม่ใช่เรื่องที่เห็นผลทันตา แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้
“การสร้างคนอาจดูยากและใช้เวลานานในช่วงแรก แต่ถ้าเราทำได้สำเร็จ จะเป็นเสาหลักที่ทำให้ประเทศสามารถต่อยอด คว้าโอกาส และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเวทีโลกได้จริง”