ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มรู้สึกได้ว่า ‘อะไรก็แพงไปหมด’ รายได้เท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้ามองในมุมของคนทำธุรกิจ ยิ่งเห็นชัดว่าทุกอย่างกำลังฝืดเคือง คนจับจ่ายน้อยลง ยอดขายลดลง
ที่น่าห่วงคือไทยไม่ได้เจอแค่เรื่องเศรษฐกิจซบเซาอย่างเดียว แต่ยังเจอแรงกดดันจากรอบด้าน ทั้งผลพวงสงครามจากต่างประเทศ ความไม่แน่นอนของการเมือง รวมถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา กลายเป็นภาพรวมที่บีบให้ทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้บริโภคต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น
THE STANDARD WEALTH รวบรวมเสียงสะท้อนจากมุมผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ในภาวะเช่นนี้จะหาทางรอดให้ธุรกิจได้อย่างไร
เศรษฐกิจไทยไร้ทางออก คนไม่กล้าจับจ่าย
มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จ.อุดรธานี ค้าส่งรายใหญ่ของภาคอีสาน เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งจากภาวะสงคราม ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงเรื่อยๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การบริโภค และการส่งออก
มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จ.อุดรธานี
ทั้งหมดทำให้ตลาดภายในประเทศซบเซาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ซัพพลายเออร์ต้องพึ่งพาปริมาณการขายในประเทศและการส่งออกเพื่อให้ถึงจุดคุ้มทุน ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัด ในระบบโรงงาน เมื่อเดินเครื่องจักรแล้วต้องรันต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง การจะผลิตสินค้า 1 ล้านกล่อง เราต้องมั่นใจว่าสามารถขายได้ในปริมาณนั้น เพื่อให้คุ้มค่าทั้งต้นทุนและค่าแรงงาน
แต่เมื่อยอดขายภายในประเทศลดลง โรงงานจึงจำเป็นต้องเร่งหาตลาดส่งออกเพื่อรักษากำลังการผลิต และป้องกันการขาดทุน อาจอาจต้องพึ่งพาโปรโมชั่นลดราคาไปด้วย
“ยิ่งการเมืองในประเทศที่ขาดเสถียรภาพ ถือเป็นปัจจัยซ้ำเติม เรียกง่ายๆ ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรดีเลย คนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะไม่มีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ แค่มีข่าวร้ายก็ทำให้คนไม่กล้าจับจ่ายแล้ว” มิลินทร์ กล่าว
ค้าปลีกยอดขายร่วง-เลิกโอที สัญญาณชัด ‘ยุคข้าวยากหมากแพง’ มาแล้ว
ผลกระทบดังกล่าวลุกลามมาถึงระดับร้านค้าปลีกขนาดกลางและเล็ก รวมถึง ร้านตั้งงี่สุ่น ในเดือนมิถุนายนยอดขายลดลงถึง 20% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนในวงการค้าส่ง พบว่า หลายร้านเริ่มลดคำสั่งซื้อสินค้า บางแห่งถึงขั้นตัดโอที หรือพิจารณาลดพนักงาน
“เรามาถึงยุคข้าวยากหมากแพงแล้วจริงๆ และคำเดียวที่พูดกันบ่อยที่สุดในวงการค้าขายตอนนี้คือต้องรอดและต้องทำใจเท่านั้น” มิลินทร์ ย้ำ
ในอีกด้าน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาก็ยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ให้ตึงเคลียดขึ้นซึ่งกระทบกับการค้าในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดอุบลราชธานีสะดุดทันทีซึ่งรัฐบาลควรรีบแก้ปัญหาความสัมพันธ์กับกัมพูชาให้ชัดเจน เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้
‘สหพัฒน์’ ยังไม่เห็นทางสว่างเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดสิ่งทอซบเซาหนัก!
ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทยังสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อยู่และยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า แม้แนวโน้มต้นทุนยังไม่นิ่งและต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลัง
รวมไปถึงกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้การจับจ่ายในตลาดเสื้อผ้าและสิ่งทอลดลงไปด้วย ยอมรับว่ายังไม่เห็นทางสว่าง บริษัทอาจจะลดการโฟกัสการผลิตสิ่งทอลง ถ้าดีมานด์ลด ซัพพลายก็ต้องลดลงตามไปด้วย
“สถานการณ์นี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับธุรกิจในการประเมินและปรับตัว เพราะใครที่ปรับตัวได้เร็วกว่า ย่อมมีโอกาสอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว เช่นเดียวกับเครือสหพัฒน์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการปรับองค์กรเพื่อให้สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปมาโดยตลอด” ธรรมรัตน์ ย้ำ
ฟาร์มเฮ้าส์สะเทือน! กำลังซื้อหดขนมปังกลายเป็นของฟุ่มเฟือย
ไม่เว้นแม้แต่ ฟาร์มเฮ้าส์ ’ ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปังรายใหญ่ของไทย โดย อภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะดีมากนักบวกกับปัจจัยของอัตราเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค หลายคนเลือกประหยัดค่าใช้จ่ายเน้นซื้อสินค้าจำเป็นมากกว่าที่จะซื้อขนมปัง
ทำให้สินค้าขนมปังมีการบริโภคน้อยลงเพราะผู้บริโภคมองว่าขนมปังเป็นกลุ่มเดียวกันกับขนมที่อาจไม่จำเป็นในยุคที่เงินในกระเป๋ามีจำกัด และที่เลวร้ายไปกว่านั้น
คือการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ในตลาดเบเกอรี่จะมีผู้เล่นแค่ไม่กี่ราย แต่หากสังเกตจะเห็นว่าแบรนด์คู่แข่งมีการลอนช์สินค้าใหม่ ราคาเข้าถึงง่ายออกมาอย่างต่อเนื่อง
จากปัจจัยของความท้าทายดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการลดลงของรายได้และกำไรส่วนเหตุผลที่กำไรลด หลักๆ เป็นเพราะการแข่งขันกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ก่อนโควิดบริษัทจะโตมากสุดสองดิจิต แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นโจทย์หินที่ฟาร์มเฮ้าส์ต้องปรับตัวอย่างหนัก
ไตรมาส 2 บรรยากาศการจับจ่ายเริ่มเงียบ!
เช่นเดียวกับ NSL Foods บริษัทผู้ผลิตแซนด์วิชป้อนเซเว่นมากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน ยังหนีไม่พ้นพิษของเศรษฐกิจ โดย ‘สมชาย อัศวปิยานนท์’ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ย้ำกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปกติแล้วสินค้าจะขายดีทุกเดือน กระทั่งเริ่มเข้าสู่ไตรมาส 2 เริ่มเห็นว่าบรรยากาศการจับจ่ายไม่คึกคักมากนักและยอดขายเริ่มลดลง
จากนี้ไป นอกจากจะให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศแล้ว จะต้องหันไปโฟกัสต่างประเทศ ด้วยการเน้นส่งออกอาหาร Ready Milk และอาหารพร้อมกินแช่แข็ง ส่งออกไปยังตะวันออกกลาง ตุรกี และยุโรป รวมถึงอเมริกาด้วย แม้จะมีผลกระทบในแง่ภาษีอยู่บ้างแต่ถือเป็นสัดส่วนที่ยังน้อยมาก เพราะได้กระจายความเสี่ยงส่งออกไปยังประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน
เสียงสะท้อนจาก NSL Foods เป็นการตอกย้ำภาพที่ผู้ประกอบการทุกคนกำลังเผชิญร่วมกัน ตั้งแต่ชั้นวางของในซูเปอร์สโตร์ต่างจังหวัดที่ยอดขายลดลง ตลาดเสื้อผ้าที่ซบเซา ไปจนถึงขนมปังที่กลายเป็นของฟุ่มเฟือย สัญญาณทั้งหมดชี้ชัดว่า ‘กำลังซื้อ’ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจในประเทศได้อ่อนแรงลงอย่างน่าเป็นห่วง
ดังนั้น การที่แต่ละองค์กรต่างดิ้นรนหาทางรอด ไม่ว่าจะด้วยการลดต้นทุน ปรับโครงสร้าง หรือหันไปพึ่งพาตลาดส่งออก จึงเปรียบเสมือนภาพแทนของเศรษฐกิจไทยที่กำลังต่อสู้ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ และยังคงมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อย่างชัดเจนนัก คงเหลือเพียงความหวังว่าการปรับตัวอย่างสุดกำลังในวันนี้ จะทำให้ธุรกิจยังแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้ในวันข้างหน้า