วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายขนาดมหึมาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หรือที่เขาเรียกว่า “Big, Beautiful Bill” เมื่อวันอังคาร (1 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา หลังจากการอ่าน ถกเถียง และลงมติในชุดแก้ไขต่อเนื่องเกือบ 48 ชั่วโมง
ร่างกฎหมายนี้ยังต้องเผชิญเส้นทางที่ท้าทายในการผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะกลายเป็นกฎหมายฉบับสมบูรณ์ โดยเนื้อหาในร่างฉบับนี้รวมถึงการตัดลดงบประมาณในโครงการสุขภาพและโภชนาการยอดนิยม ขณะเดียวกันก็ให้การลดภาษีรวมกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
“Big, Beautiful Bill” คืออะไร?
นี่คือร่างกฎหมายชุดใหญ่ที่รวมหลายมาตรการเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งการลดภาษี, เพิ่มงบประมาณในด้านกลาโหมและความมั่นคงชายแดน, และการตัดงบสวัสดิการสังคม
เป้าหมายหลักของร่างนี้ คือการขยายเวลาการลดภาษีตามนโยบายเดิมของทรัมป์ในปี 2017 ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในปลายปี 2025 โดยร่างนี้จะทำให้การลดภาษีส่วนใหญ่มีผลถาวร พร้อมเพิ่มงบประมาณให้กับนโยบายด้านความมั่นคงชายแดน กองทัพ และโครงการพลังงานบางประเภท
เพื่อชดเชยงบประมาณบางส่วน รัฐบาลจะตัดลดงบด้านสุขภาพและอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย
ตามการประเมินของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ร่างกฎหมายนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่หนี้รวมของรัฐบาลอยู่ที่ราว 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
อะไรอยู่ในร่างกฎหมายนี้บ้าง?
ลดภาษี
ทรัมป์เคยลงนามในกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act เมื่อปี 2017 ที่ให้การลดหย่อนภาษีและเพิ่มการหักลดหย่อนมาตรฐาน โดยเน้นผลประโยชน์ต่อกลุ่มรายได้สูงเป็นหลัก ร่างใหม่นี้จะขยายผลการลดภาษีให้เป็นถาวร และเพิ่มการลดหย่อนเพิ่มเติมตามที่ทรัมป์หาเสียงไว้
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ คือการปรับเพิ่มเพดานการหักภาษีท้องถิ่น (State and Local Taxes – SALT deduction) จาก 10,000 ดอลลาร์ เป็น 40,000 ดอลลาร์ เป็นเวลา 5 ปี
นอกจากนี้ ผู้เสียภาษียังสามารถหักรายได้จากทิป, ค่าล่วงเวลา, และดอกเบี้ยจากเงินกู้เพื่อซื้อรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ได้ รวมแล้ว มูลค่าการลดภาษีอยู่ที่ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
เครดิตภาษีเด็ก (Child Tax Credit)
หากร่างนี้ไม่ผ่าน เครดิตภาษีบุตรต่อคนต่อปีจะลดลงจาก 2,000 ดอลลาร์ เหลือ 1,000 ดอลลาร์ในปี 2026 แต่หากผ่าน ร่างนี้จะเพิ่มเครดิตเป็น 2,200 ดอลลาร์ ต่อคนต่อปี
ความมั่นคงชายแดน
ร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับนโยบายความมั่นคงของทรัมป์ โดยประกอบด้วย
- งบ 46,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ–เม็กซิโก
- งบ 45,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงในศูนย์กักตัวผู้อพยพ
- งบเพิ่มเติมสำหรับการจ้างเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ICE) เพิ่มอีก 10,000 คน ภายในปี 2029 เพื่อรองรับแผนการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ตัดงบ Medicaid และ SNAP
เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในด้านอื่น พรรครีพับลิกันเสนอให้ตัดงบ Medicaid และโครงการอาหาร SNAP โดยระบุว่า ต้องการปรับเป้าโครงการให้มุ่งช่วยกลุ่มเปราะบางจริง ๆ เช่น หญิงตั้งครรภ์, เด็ก, และผู้พิการ รวมถึงป้องกันการใช้สิทธิเกินจริง
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ CBO หากร่างนี้กลายเป็นกฎหมาย จะมีชาวอเมริกันราว 11.8 ล้านคน ไม่มีประกันสุขภาพ ภายในปี 2034
ลดสิทธิประโยชน์พลังงานสะอาด
ร่างนี้ยังเสนอให้ลดหรือยกเลิกแรงจูงใจด้านภาษีที่เคยผลักดันภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act ของประธานาธิบดีไบเดน โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะหมดอายุเร็วขึ้นในเดือนกันยายนปีนี้ แทนที่จะสิ้นสุดในปี 2032
ใครได้ประโยชน์มากที่สุด?
จากข้อมูลของ Budget Lab มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า กลุ่มผู้มีรายได้สูงจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากร่างนี้ ในขณะที่กลุ่มรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบด้านลบ
- กลุ่มรายได้น้อยที่สุด รายได้จะลดลงเฉลี่ย 2.5% เนื่องจากถูกตัดสวัสดิการ
- กลุ่มรายได้สูง รายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.2%
ใครโหวตให้ร่างนี้ผ่าน?
สมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ลงมติเห็นชอบ และสามารถผ่านร่างนี้ด้วยคะแนน 51 ต่อ 50 โดยเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดี เป็นผู้ออกเสียงชี้ขาด
ทรัมป์ตั้งเป้าให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านสภาคองเกรสทั้งหมดให้ทันภายในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่า “เป็นเรื่องยากมาก” ที่จะสำเร็จตามเส้นตายดังกล่าว เนื่องจากยังต้องรอการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร
พรรครีพับลิกันต่างชื่นชมว่าเป็น “ชัยชนะครั้งสำคัญ” ส่วนทรัมป์กล่าวว่า “เป็นข่าวที่ไพเราะที่สุดที่เคยได้ยิน”
ขณะที่พรรคเดโมแครตวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดย ส.ว. ชัค ชูเมอร์ กล่าวในสภาว่า “วันนี้จะตามหลอกหลอนพรรครีพับลิกันไปอีกนาน” และ “พวกเขาเปื้อนรอยอัปยศให้กับวุฒิสภาแห่งนี้”
องค์กรหอการค้าสหรัฐฯ และอีกกว่า 145 องค์กรสนับสนุนร่างนี้ โดยชี้ว่าจะส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงาน แต่ในอีกด้าน กลุ่มด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเตือนว่า ร่างนี้จะทำให้ผู้คนจำนวนมากตกหล่นจากระบบ และเพิ่มค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่รัฐต้องแบกรับ
ทั้งนี้ นักข่าวจากวอชิงตันของ Al Jazeera รายงานจากผลสำรวจความเห็นล่าสุดที่พบว่าการสนับสนุนร่างนี้ลดลง “เดิมทีทรัมป์ได้รับการสนับสนุนมากกว่า 50% แต่ตอนนี้ลดลงต่ำกว่านั้น เพราะประชาชนเริ่มเห็นว่า ร่างนี้อาจตัดสิทธิสวัสดิการที่เขาเคยให้คำมั่นว่าจะปกป้องไว้”
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ?
ขั้นตอนต่อไปคือการเข้าสู่คณะกรรมาธิการกฎของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะพิจารณาว่าจะจัดการอภิปรายในชั้นสภาอย่างไร หากผ่านขั้นตอนนี้ ร่างกฎหมายจะเข้าสู่การอภิปรายและลงมติในที่ประชุมสภาเต็มรูปแบบ อาจเร็วที่สุดในวันพุธนี้
หากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับฉบับที่วุฒิสภาแก้ไข ร่างจะถูกส่งตรงให้ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมาย แต่หากไม่เห็นชอบ ก็อาจส่งกลับวุฒิสภา หรือจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างสองสภาเพื่อหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับร่วมกัน
ภาพ: Evelyn Hockstein / REUTERS
อ้างอิง: