วันนี้ (2 กรกฎาคม) จากกรณีเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการให้สัญชาติกับบุคคลต่างชาติที่เกิดในประเทศไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ออกหนังสือชี้แจง เรื่อง หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567
สืบเนื่องมาจากการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่มีมติอนุมัติให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาสถานะของชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่มที่อาศัยและอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน รวมถึงกลุ่มบุตรหลานของคนกลุ่มดังกล่าวที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย และใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยอย่างสงบ สันติสุข และมีความผูกพันกับแผ่นดินไทยอย่างแท้จริง ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามที่เสนอ
มติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องจากสถานะบุคคลตามกฎหมายที่ไม่ชัดเจน โดยกำหนดเงื่อนไขการได้สถานะอย่างชัดเจน รัดกุม และรอบคอบ ให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการสำรวจ คัดกรอง และพิสูจน์เพื่อพัฒนาสถานะของบุคคล และมีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของกรมการปกครองแล้ว
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดกรอบระยะเวลาบังคับใช้ 1 ปี โดยผู้ยื่นคำขอจะต้องรับรองคุณสมบัติของตนเอง หากให้ข้อมูลเท็จหรือพบพฤติการณ์ที่เป็นภัย จะถูกเพิกถอนสถานะในภายหลัง
การได้สถานะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
การได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่: สำหรับกลุ่มชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้าไทย 19 กลุ่ม จำนวน 340,101 คน เพื่ออาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรและถูกต้องตามกฎหมาย
การได้สัญชาติไทย: สำหรับบุตรชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในไทย จำนวน 143,525 คน
ค่าธรรมเนียมในการดำเนินการของทางราชการกำหนดอยู่ที่ 900 บาท สำหรับผู้ยื่นคำขอเพื่อเพื่อให้ได้ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และ 100 บาท สำหรับผู้ยื่นคำขอเพื่อรับบัตรประจำตัวประชาชน หากมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินอัตรา หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด ประชาชนสามารถแจ้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรมการปกครอง หรือศูนย์ดำรงธรรม เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการดำเนินการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาแสวงประโยชน์หรือถูกหลอกลวง และผู้ฉวยโอกาสแอบอ้างให้ความช่วยเหลือเพื่อหวังผลประโยชน์โดยมิชอบ
สมช. ย้ำว่าการให้สถานะในครั้งนี้ไม่ใช่การแย่งสิทธิคนไทย แต่เป็นการทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันมีความชัดเจนในกฎหมาย เพื่อให้รัฐสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ ลดช่องโหว่การเอารัดเอาเปรียบ และที่สำคัญคือยกระดับคุณภาพชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกันให้เป็นธรรมและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน อันเป็นการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ