วันนี้ (23 มิถุนายน) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับมือการรวมกลุ่มชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้
โดยระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติการประชุมทุกวัน สิ่งสำคัญคือการข่าว การเจรจา และการดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม ซึ่งทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ส่วนการดูแลความปลอดภัยของประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและผู้ใช้รถใช้ถนนนั้น เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความห่วงใยและต้องตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าอาจมีบุคคลไม่หวังดีหรือกลุ่มมือที่สามเข้ามาก่อเหตุ
ดังนั้นการข่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งจากภายใน ภายนอก และตำรวจภูธรภาคต่างๆ ต้องสืบสวนหาข่าวเพื่อเตรียมความพร้อมด้านกำลังพลและอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยทั้งผู้ชุมนุมและประชาชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการข่าวที่แน่ชัดว่าจะมีการระดมคนจำนวนมากมาร่วมชุมนุม มีเพียงการโพสต์ข้อความเชิญชวนตามปกติในโซเชียลมีเดีย ตำรวจเข้าใจดีว่าการชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การปฏิบัติก็มีกฎหมายรองรับเช่นกัน
ผบ.ตร. เชื่อว่า หากทั้งประชาชนและตำรวจให้ความร่วมมือกัน ความสงบเรียบร้อยก็จะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะดูแลความปลอดภัยให้ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชน โดยในส่วนของการประเมินจำนวนผู้ชุมนุมนั้นยังไม่มีความชัดเจน คาดว่าจะทราบผลการวิเคราะห์ในช่วงวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อให้ตำรวจจัดกำลังพลและเตรียมแผนเผชิญเหตุได้อย่างเรียบร้อย
ขณะนี้มีการประสานงานและขออนุญาตจัดการชุมนุมอย่างถูกต้องแล้ว โดยเบื้องต้นอนุญาตให้จัดได้ตั้งแต่เวลา 16.00-21.00 น. และมีการยืนยันการชุมนุมในพื้นที่เดียวคือที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่ทำความเข้าใจกับผู้จัดการชุมนุมในพื้นที่ที่มีการจำกัดและดูแลพิเศษเรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีรายงานข่าวยืนยันว่าจะมีการปักหลักค้างคืน
ส่วนการชุมนุมครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต้นของการชุมนุมในระยะยาวหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่นำข้อมูลมาเป็นข้อสันนิษฐานและได้เตรียมแผนปฏิบัติการหรือแผนเผชิญเหตุไว้แล้ว
“ผมว่าทุกคนรักประเทศและไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายอะไร การแสดงออกซึ่งสัญลักษณ์สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยชอบสามารถทำได้” พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าว
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ เผยว่า การชุมนุมนี้ไม่ต้องจับตาบุคคลใดเป็นพิเศษ แต่มองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีการรวมตัวกัน และตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย แกนนำหลายท่านเป็นผู้ใหญ่ในวงการการเมือง เชื่อว่าสิ่งที่ผ่านมาในอดีตก็เป็นบทเรียนให้กับผู้ชุมนุมว่าหากทำอะไรไป จะเกิดอะไรต่อบ้านเมือง
ในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศว่าจะส่งผลต่อความรุนแรงในการชุมนุมหรือไม่นั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในเรื่องของข้อพิพาททางชายแดนได้กำชับให้ตำรวจสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร และขอความร่วมมือสื่อมวลชนที่จะต้องช่วยสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชน
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยและอดีต ผบ.ตร. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา (อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ในความผิดต่อกฎหมายไทย
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ทางเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เองก็เดินทางมาเพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้นำของประเทศกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายที่เดินทางมาตนเชื่อว่าทั้งหมดมีความรักชาติ รักแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายได้นำข้อมูลมามอบให้กับตำรวจ แต่ต้องยอมรับว่า 2 กรณีเป็นคนละเหตุการณ์ และเกิดในพื้นที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีความหนักใจอะไร ในวันเดียวกับที่รับเรื่องตนได้สั่งการให้หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องนำเรื่องไปพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจเพื่อนำมาเสนอกลับให้ตนเอง การที่มีหลักฐานต่างๆ ยิ่งเป็นเรื่องดี เพื่อยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ต่อให้เป็นเรื่องนอกราชอาณาจักร
ส่วนจะมีการสอบปากคำในส่วนของผู้ถูกกล่าวถึง อย่างสมเด็จฮุน เซน ด้วยหรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุว่า การจะเอาผิดได้หรือไม่อยู่ที่การสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน แต่เบื้องต้นต้องสอบสวนในส่วนของผู้กล่าวหาก่อน ส่วนข้อมูลของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะสามารถเอาผิดผู้นำประเทศกัมพูชาได้หรือไม่ต้องเป็นการพิจารณาของพนักงานสอบสวนก่อนเช่นกัน
กรณีที่ สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กรณีปรากฏคลิปเสียงการพูดคุย ระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน เป็นคนละกรณีกัน ต้องไปพิจารณาว่ารายละเอียดจะเข้าเงื่อนไขการรวมคดีของ พรบ.ตำรวจหรือไม่ ความคืบหน้าขณะนี้ ตำรวจไซเบอร์สอบผู้กล่าวหาแล้ว อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเช่นกัน
เมื่อถามว่าตำรวจไทยจะกล้าดำเนินคดีกับสมเด็จฮุน เซน หรือไม่ ผบ.ตร. ยืนยันว่า เกิดมาเป็นตำรวจเราก็ต้องไปตรงไปตรงมา ความกล้าเกิดตั้งแต่ได้ถูกอบรมสั่งสอนอุดมคติการเป็นตำรวจแล้ว จากที่ผ่านมาหลายคดีตำรวจเดินหน้าจับกุมผู้กระทำความผิดไม่มีเงื่อนไข
ส่วนจะต้องเรียกนายกรัฐมนตรีไทยมาสอบสวนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนและดุลพินิจ เพราะบริบทคลิปเสียงเป็นการสนทนาระหว่างกัน เมื่อถามต่อว่าจะต้องรายงานที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่ในฐานะผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผบ.ตร. กล่าวว่า นายกฯ จำเป็นต้องทราบในส่วนที่ต้องรายงาน