×

จีน ‘เลือกข้าง’ โลกมุสลิมในตะวันออกกลางจริงหรือ?

23.06.2025
  • LOADING...

รัฐบาลจีนเดินเกมเชิงรุกในตะวันออกกลางอย่างชัดเจน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบีย และเข้าร่วมการประชุมสุดยอด China-Arab States Summit และ China-Gulf Cooperation Council (GCC) Summit ในปี 2022 จีนมีความใกล้ชิดกับหลายประเทศมุสลิมในภูมิภาคนี้มากขึ้น จึงถือเป็นการเปิดยุคใหม่ของความสัมพันธ์จีนในภูมิภาคตะวันออกกลาง  

 

ที่ผ่านมา ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ จีนยึดถือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และมีความระมัดระวังในประเด็นด้านความมั่นคงและการเมือง จีนมักจะเน้นการทูตเชิงเศรษฐกิจ โดยไม่ผูกกับอุดมการณ์ศาสนาหรือการเมือง แต่หลายครั้ง ด้วยท่าทีของจีนต่อประเด็นร้อนๆ และสงครามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้มีบางคนมองว่า จีน ‘เลือกข้าง’ โลกมุสลิมในภูมิภาคนี้ เช่น 

 

  • ประเด็นสงครามอิหร่าน-อิสราเอล และอิหร่านถูกสหรัฐฯ โจมตี จีนประณามสหรัฐฯ และเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดยิง
  • ประเด็นปาเลสไตน์-อิสราเอล: จีนมีท่าทีสนับสนุนปาเลสไตน์ เรียกร้องให้มีการเจรจาสองรัฐ (Two-State Solution) และจีนเคยวิจารณ์การโจมตีอย่างรุนแรงของอิสราเอล 
  • ประเด็นนิวเคลียร์อิหร่าน: จีนมีท่าทีคัดค้านการคว่ำบาตรอิหร่าน แต่ก็เรียกร้องให้อิหร่านร่วมมือกับ IAEA 
  • ประเด็นช่องแคบฮอร์มุซ: จีนได้ส่งเรือรบร่วมลาดตระเวน เพื่อคุ้มครองเรือพาณิชย์ในช่องแคบฮอร์มุซ (ร่วมกับรัสเซีย) ปกป้องเส้นทางขนส่งน้ำมัน เพื่อความมั่นคงทางทะเล

 

ประเด็นช่องแคบฮอร์มุซ : จีนส่งเรือรบร่วมลาดตระเวน เพื่อคุ้มครองเรือพาณิชย์ในช่องแคบฮอร์มุซ (ร่วมกับรัสเซีย) ปกป้องเส้นทางขนส่งน้ำมัน เพื่อความมั่นคงทางทะเล

ประเด็นช่องแคบฮอร์มุซ : จีนส่งเรือรบร่วมลาดตระเวน เพื่อคุ้มครองเรือพาณิชย์ในช่องแคบฮอร์มุซ (ร่วมกับรัสเซีย) ปกป้องเส้นทางขนส่งน้ำมัน เพื่อความมั่นคงทางทะเล

 

  • ประเด็นการซ้อมรบและการต่อต้านการก่อการร้าย: จีนมีการซ้อมรบกับหลายประเทศมุสลิมในภูมิภาคนี้ เช่น ซาอุ และมีการซ้อมรบทางทะเลร่วม จีน-อิหร่าน-รัสเซีย ที่อ่าวโอมาน รวมทั้งการร่วมมือกับหลายประเทศ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มสุดโต่งที่คุกคามเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

 

ทั้งนี้ จีนไม่ได้มีท่าทีเลือกข้างใดข้างหนึ่งอย่างชัดเจน (ในลักษณะเดียวกับชาติตะวันตกบางประเทศ) แม้ว่าจีนมีแนวโน้มที่จะเอนเอียงไปทางประเทศมุสลิมในหลายบริบท โดยเฉพาะในประเด็นปาเลสไตน์และอิหร่าน แต่จีนก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอลเช่นกัน ในขณะนี้ จีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของอิสราเอล และจีนเข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของอิสราเอล เช่น โครงการท่าเรือ และร่วมมือด้านเทคโนโลยี เป็นต้น 

 

จีนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคโดยตรง และเน้นรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย รัฐบาลจีนมักจะประกาศว่า “นโยบายต่างประเทศของจีนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ฉันมิตรกับทุกประเทศในตะวันออกกลาง บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเสมอภาค และผลประโยชน์ร่วมกัน” และสนับสนุนการแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ ผ่านการเจรจาและการหารืออย่างสันติ 

 

ดังนั้น จีนไม่ได้เลือกข้าง แต่ ‘เลือกผลประโยชน์’ จีนพยายามสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางการทูตและทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นคู่สงครามใดๆ จีนก็ยังคงค้าขายกับทุกฝ่าย เช่น อิสราเอลและอิหร่านที่มีการปะทะกันอย่างหนักในขณะนี้ ต่างก็เป็นคู่ค้าสำคัญของจีน 

 

ผลประโยชน์จีนด้านเศรษฐกิจและพลังงาน จีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบเกือบร้อยละ 50 จากตะวันออกกลาง โดยมีประเทศซาอุ อิรัก โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เป็นแหล่งนำเข้าหลัก และจีนได้เสนอให้มีการชำระเงินด้วยเงินสกุลหยวน (Yuan Settlement) ในการซื้อขายน้ำมัน เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ 

 

นอกจากนี้ จีนใช้การทูตเชิงรุกในการขยายความร่วมมือกับกลุ่มความร่วมมือแห่งอ่าวอาหรับ GCC ซึ่งมีสมาชิก 6 ประเทศได้แก่ ซาอุ ยูเออี กาตาร์ คูเวต บาห์เรน และโอมาน และเป็นกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ โดยมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) มูลค่ามหาศาล กลุ่ม GCC นี้จึงมีบทบาทสำคัญทั้งด้านพลังงาน การเงิน และการทูตในโลกอาหรับและโลกมุสลิม 

 

ในขณะนี้ จีนกลายเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มอ่าวอาหรับ GCC และล่าสุด จีนกำลังเร่งเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับกลุ่มนี้ หากจัดทำได้สำเร็จ จะช่วยให้จีนส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางได้ง่ายขึ้น ในยุครัฐบาลทรัมป์เก็บภาษีโหดกับจีน ยิ่งต้องเน้นกระจาย (diversify) ตลาดใหม่ๆ ในโลกขั้วใต้ให้มากขึ้น  

 

จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของซาอุ ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการค้าขายน้ำมัน ขยายไปสู่การลงทุนร่วม และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น จีนได้เข้าไปดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฮารามาอีน (Haramain High-Speed Railway) ในนครเมกกะห์ของซาอุ และเปิดใช้งานตั้งแต่ปลายปี 2019 เส้นทางรถไฟความเร็วสูง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสายนี้ก่อสร้างโดยบริษัท China Railway Construction Corp (CRCC) ของจีน และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า “รถไฟแห่งศรัทธา” (Train of Faith) เนื่องจากเป็นรถไฟที่เชื่อมเมืองศักดิ์สิทธิ์ 4 แห่งของอิสลาม ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง และสามารถรองรับผู้แสวงบุญได้มากถึง 60 ล้านคนต่อปี 

 

สีจิ้นผิงวางยุทธศาสตร์ที่จะใช้กลุ่มอ่าวอาหรับ GCC เพื่อเป็นประตูสู่ตะวันออกกลาง และเชื่อมโยงความร่วมมือ Belt and Road Initiative (BRI) ส่งผลให้จีนออกไปลงทุนในภูมิภาคนี้ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 23 ของการลงทุนต่างประเทศของจีนภายใต้ความร่วมมือ BRI มีทั้งการลงทุนในท่าเรือ รถไฟ ถนน ระบบโลจิสติกส์ เพื่อใช้เป็นฐานเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าไปแอฟริกาและยุโรป เช่น ท่าเรือดูไบ เขตอุตสาหกรรมจีนในโอมาน รวมทั้งเมกะโปรเจกต์ NEOM ที่ซาอุได้เชิญฝ่ายจีนร่วมลงทุนด้วย

 

ที่สำคัญ ประเทศเศรษฐีน้ำมันเหล่านี้ต้องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันที่ไม่ยั่งยืน จึงหันมาให้ความสนใจจับมือกับจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีสีเขียว เช่น เทคโนโลยีพลังงานโซลาร์ พลังงานลม โดยเฉพาะในโครงการสำคัญของซาอุ เช่น ‘Made in Saudi’ และ ‘Vision 2030’ ตลอดจนการใช้โครงข่ายเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ย การร่วมมือกับจีนสร้าง Smart City และการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า EV ของจีนไปเจาะตลาดกลุ่มอ่าวอาหรับ GCC

 

อีกด้านที่โดดเด่น คือ บทบาทของจีนทางการทูตในการเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย/คนกลางในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน-ซาอุ จนสำเร็จในปี 2023 เพื่อแสดงให้โลกมุสลิมในตะวันออกกลางได้เห็นว่า จีนไม่ได้มีแค่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่พร้อมเป็นคนกลางผู้สร้างเสถียรภาพ (Stability Broker) ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้

 

ทั้งนี้ ในด้านความมั่นคง แม้ว่าจีนไม่ได้มีฐานทัพในตะวันออกกลาง แต่จีนก็มีการฝึกทหารร่วม (joint military exercise) และขายอาวุธและโดรนให้หลายกับประเทศ เช่น ซาอุ ยูเออี และอียิปต์ ในขณะนี้ จีนเป็นผู้ส่งออกอาวุธอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง (รองจากสหรัฐฯ) 

 

ที่น่าจับตาอีกด้าน คือ จีนมีบทบาทอยู่เบื้องหลังในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างโลกมุสลิมในกลุ่มประเทศอาหรับ กับกลุ่มอาเซียน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีนสามารถผลักดันให้นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียนปี 2025) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระดับผู้นำที่เรียกว่า “ASEAN – GCC – China Summit” ครั้งแรกจนสำเร็จ โดยคาดหวังว่า กลุ่มอาเซียนกับกลุ่มอ่าวอาหรับ GCC ที่จับมือกัน (ภายใต้แรงสนับสนุนจากจีน) จะกลายเป็นตัวอย่างของความร่วมมือ South–South Cooperation ที่ไม่พึ่งพาประเทศพัฒนาแล้วเหมือนที่ผ่านมา และจีนจะสามารถใช้กลไกใหม่นี้เป็นเครื่องมือเชิงการทูตบนเวทีโลกต่อไป

 

มีข้อสังเกตว่า จีนเลือกที่จะให้มาเลเซียเป็นเจ้าภาพริเริ่มจัดการประชุมครั้งแรกนี้ เพื่อทำให้กลุ่มอาเซียนตอบรับได้ง่ายกว่าการที่จีนเดินหน้าเองโดยตรง และมาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมที่มีจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับกลุ่มอ่าวอาหรับ GCC เพื่อช่วยสร้างแนวร่วมมุสลิมที่มีจุดยืนร่วมกัน ในลักษณะ“พันธมิตรโลกมุสลิม–เอเชีย”โดยมีจีนเป็นแกนกลาง 

 

โดยสรุป จีนเอียงข้างประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางในแง่การทูตและเศรษฐกิจ โดยมีความระมัดระวังในประเด็นด้านความมั่นคงและการเมือง จีนยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอลควบคู่ไปด้วย และจีนมุ่งคบหาผูกมิตรกับประเทศตะวันออกกลาง เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งด้านการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การค้า การลงทุน และการเป็นตลาดยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน ในยุคทรัมป์ป่วนโลก 

 

การเดินเกมของจีนในภูมิภาคนี้จึงใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจเป็นตัวนำ โดยไม่ผูกกับอุดมการณ์ศาสนาหรือการเมือง ควบคู่ไปกับความพยายามที่จะส่งสัญญาณว่า ความร่วมมือของจีนกับประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่จะเป็นการจัดระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ที่จีนกำลังสร้างขึ้น และแสดงบทบาทเชิงรุกแทนที่สหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ พร้อมกับการปูทางไปสู่ระบบโลกแบบหลายขั้ว (multipolar world order) ต่อไป 

 

ภาพ: Reuters, ShutterStock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising