ดีลยังไม่จบ! แต่ “ทิศทางข่าว” ค่อนข้างชัดเจนว่า ลิเวอร์พูล กำลังจะได้ตัวฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มาร่วมทีมในเร็วๆ นี้ หลังจากที่เจรจากันเป็นหนังอินเดีย วิ่งจีบกันอ้อมภูเขาอยู่หลายสัปดาห์
ท่ามกลางเรื่องราวมากมาย คำถามที่น่าสนใจที่สุดทำไมลิเวอร์พูลถึงยอมทุ่มหมดหน้าตักเพื่อคว้าตัวนักเตะที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จำเป็นที่สุดลำดับต้นๆ ในโผการปรับปรุงทีมด้วย (ในขณะที่ เจเรมี ฟริมปง และกำลังจะรวมถึงมิลอส เคอร์เคซ ด้วยเป็นนักเตะที่ทีมต้องการจริง)
ไหนบอกว่าเป็น “Moneyball” สุดท้ายก็เป็น “เจ้าบุญทุ่ม” ยอมจ่ายเงินมหาศาลที่คาดว่าจะจบที่ 150 ล้านยูโร (บวกลบเท่าไรอยู่ที่รายละเอียดในการเจรจาขั้นสุดท้าย)
นั่นสิ ทำไมลิเวอร์พูลถึงต้องทุ่มเทขนาดนี้?
ความจริงคำตอบของเรื่องนี้นั้นง่ายๆ
ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ มีเงิน อยากซื้อใครก็ได้ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอะไร ตัดจบบทความที่ประโยคนี้เลย
ล้อเล่น! (ตอบแบบนี้แฟน The Standard นอกจากจะตบโต๊ะแล้วอาจจะฟาดหัวคนเขียนด้วย) ในความเป็นจริงแล้วกรณีการไล่ล่าตัว เวียร์ตซ์ ของลิเวอร์พูล เป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจอย่างมาก
เพราะอย่างที่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่านับตั้งแต่ที่กลุ่ม Fenway Sports Group (FSG) เข้ามาซื้อกิจการสโมสรเมื่อปี 2010 พวกเขาได้เริ่มนำวิธีการบริหารธุรกิจกีฬาสไตล์อเมริกันที่เรียกว่า “Moneyball” เข้ามาใช้ในฟุตบอลอังกฤษ และวิธีบริหารแบบนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลพลิกจากทีมที่ตกต่ำกลับมาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง
หลักการง่ายๆ ของ Moneyball คือ “ใช้จ่ายอย่างฉลาด” โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาผู้เล่นที่มีศักยภาพสูงแต่ใช้เงินลงทุนน้อยที่จะสามารถสร้างผลงานที่เปรียบเหมือนผลตอบแทนที่ดีให้แก่การลงทุน
กรณีตัวอย่างใหม่ๆ ของลิเวอร์พูล ก็เช่น อเล็กซิส แม็คคัลลิสเตอร์ และไรอัน คราเฟนแบร์ก สองกองกลางชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2024/25 ที่ผ่านมา ซึ่งใช้เงินลงทุนเพียงแค่คนละ 35-40 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
แต่เวียร์ตซ์ ซึ่งแม้ตัวเลขค่าตัวในการย้ายทีมที่จะต้องจ่ายให้แก่เลเวอร์คูเซนยังไม่นิ่ง แต่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 140-150 ล้านยูโร ดูจะเป็นการซื้อที่ขัดต่อหลักการทุกอย่างที่ทำมาของสโมสร
มันต้องมีเหตุผลสิ
1. Generational talent
เหตุผลอย่างแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูล ยอมทุ่มเงินระดับทุบสถิติของสโมสรและสถิติของฟุตบอลอังกฤษอยู่ที่ตัวของเวียร์ตซ์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากผลงานที่พิสูจน์มาพอสมควรแม้จะเพิ่งอายุแค่ 22 ปี
วงการฟุตบอลเยอรมันยกย่องเขาว่าเป็น “นักเตะแห่งยุคสมัย” ด้วยพรสวรรค์การเล่นอันสูงส่งที่ล้ำหน้ากว่าคนอื่นไปอีกขั้น
เรื่องนี้ไม่ได้เกินไปจากความเป็นจริงนัก เพราะนอกจากจะเป็นนักเตะที่มีทักษะการเล่นสูงส่งแล้วยังมีความเร็ว มีไหวพริบปฏิภาณ และมีหัวจิตหัวใจที่กล้าหาญด้วย ซึ่งรวมกันแล้วเป็นจุดเด่นในสไตล์การเล่นที่หาตัวจับได้ยาก
มีคนเปรียบเปรยว่าเวียร์ตซ์ คล้ายกับโธมัส เฮสเลอร์ อดีตกองกลางดาวดังของทีมชาติเยอรมนีในยุค 90 ในเรื่องของเซนส์การเล่นฟุตบอลที่สูงส่งและสง่างาม แต่โดยส่วนตัวมองว่าเห็นแล้วรู้สึกว่าคล้าย แอนเดรียส โมลเลอร์ อดีตนักเตะเจ้าของสมญา “ไอ้หนูแข้งทอง” ของวงการฟุตบอลเยอรมันมากกว่านิดๆ
หรือถ้าเปรียบกับใครก็ได้ ในบางจังหวะและท่วงท่าก็ชวนคิดถึงโรแบร์โต บักโจ เทพบุตรเปียทองคำ หรือฟรานเชสโก ต็อตติ อยู่เหมือนกัน
2. ตัวเลขไม่เคยโกหก
แต่ทีมอย่างลิเวอร์พูล ไม่ได้พิจารณาผู้เล่นด้วยความรู้สึกแน่นอน
สิ่งที่ทำให้แผนกจัดซื้อจัดจ้างอย่าง ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการสโมสร และริชาร์ด สเปียร์แมน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยข้อมูล – ภายใต้การนำของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส ซีอีโอด้านฟุตบอลของ FSG – รู้สึกว่าเวียร์ตซ์ คือนักเตะที่พวกเขาขาดไม่ได้คือตัวเลขสถิติต่างๆ
มีหลายสถิติที่น่าสนใจของเวียร์ตซ์ โดยเฉพาะในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุด ซึ่งสลัดการบาดเจ็บสาหัสเอ็นไขว้เข่าฉีกขาดกลับมาเฉิดฉายกับเลเวอร์คูเซน แต่คัดสถิติที่น่าสนใจมาให้นิดหน่อย
- ฤดูกาล 2023/24 ยิง 18 ประตู 20 แอสซิสต์, ฤดูกาล 2024/25 ยิง 15 ประตู 13 แอสซิสต์
- ค่าสถิติการเลี้ยงบอลดวลคู่แข่ง (Take-ons) ในฤดูกาล 2024/25 อยู่ที่ 161 ครั้ง มากที่สุดใน 5 ลีกระดับท็อปของยุโรป (และเป็นเจ้าของสถิติ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน)
- เอาชนะในการดวล (Tackling duels won) ในฤดูกาลที่ผ่านมาที่ 383 ครั้ง สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของบุนเดสลีกา
ตัวเลขบอกว่าเวียร์ตซ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวรุกที่จี๊ดจ๊าด กล้าเล่น กล้าลอง กล้าที่จะสร้างความแตกต่างให้กับทีม แต่ยังให้ผลประกอบการที่สูง (G/A 20 ประตู + 20 แอสซิสต์) ซึ่งมีนักเตะน้อยรายที่จะสามารถสร้างผลงานได้ในระดับนี้
และยังเป็นผู้เล่นที่เข้าใจระบบการเล่นสมัยใหม่ เกมเพรสซิง เก่งในเรื่องการฉกชิงวิ่งราวบอลจากคู่แข่งด้วย
3. All-in-one คนเดียวจบ
ถ้าถามเวียร์ตซ์ว่า “ฟลอเรียนวันนี้นายอยากกินอะไร” เราอาจได้คำตอบที่เหมือนคำถามกลับมามากกว่าว่า “อะไรก็ได้”
ข้างบนนี่หยอกกัน แต่เรื่องจริงคือเวียร์ตซ์ เป็นผู้เล่นที่แม้จะมีของโปรดอย่างการเล่นเป็นผู้เล่น “หมายเลข 10” เป็นเพลย์เมคเกอร์ทำเกมอยู่ข้างหลังกองหน้าที่พร้อมเคลื่อนที่ไปมาในสนามอย่างอิสระ
แต่หากไม่มีของโปรด โค้ชอย่างอาร์เนอ สล็อต สามารถเลือกใช้งานเขาได้อย่างหลากหลายเพราะสามารถจะเล่นทุกตำแหน่งในแนวรุกได้ ไม่ว่าจะเป็นปีกซ้าย ปีกขวา หรือแม้แต่การดันขึ้นไปยืนเป็นศูนย์หน้าตัวหลอก (False nine) ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ผู้เล่นแบบนี้มีค่ามากสำหรับโค้ชเพราะเป็นเหมือนยาแก้ปวดที่ใช้รักษาได้ทุกอาการ ซึ่งหากมองย้อนกลับไปในฤดูกาลที่ผ่านมาลิเวอร์พูลมีปัญหาหนักในตำแหน่งศูนย์หน้า เพราะดีโอโก โชตา บาดเจ็บบ่อยและเมื่อหายเจ็บก็ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่าๆ กลับมาได้ ขณะที่ดาร์วิน นูนเยซ ปรับตัวกับสไตล์การเล่นของโค้ชใหม่ไม่ได้
คนที่ถูกใช้งานแก้ขัดตลอดคือ หลุยส์ ดิอาซ ที่แม้จะทำผลงานได้ดีประมาณหนึ่งแต่ด้วยธรรมชาติของคนเล่นเป็นปีกจอมเลื้อย การขยับเข้ามาด้านในจึงดูขัดเขินไม่เป็นธรรมชาตินัก
เวียร์ตซ์ หากจำเป็นสามารถช่วยทีมในบทบาทตรงนี้ได้และน่าจะเป็นธรรมชาติและมีประโยชน์กับทีมมากกว่าในฐานะ Creator
แต่แน่ละถ้าให้ดีที่สุดก็คือการอยู่หลังกองหน้าในบทบาทที่โดมินิก โซโบสไล ได้รับในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งก็น่าจะสร้างสรรค์เกมได้เนียนตากว่ากองกลางสุดหล่อที่มีปัญหาไม่กล้าสร้างสรรค์ด้วยตัวเองในหลายครั้งจนทีมเสียโอกาส
4. Future leader
“ผู้นำแห่งอนาคต”
นี่ไม่ใช่ชื่อเวทีเสวนาของ The Secret Sauce (เดือนหน้าจะไปพบปะพี่น้องชาวอีสานที่ขอนแก่นนะ สามารถดูรายละเอียดได้ ที่นี่) แต่เป็นความคาดหวังของลิเวอร์พูลต่อเวียร์ตซ์
ถึงแม้จะอายุเพียงแค่ 22 ปี แต่เวียร์ตซ์ เป็นหนึ่งใน Leader ของเลเวอร์คูเซนในสนาม เป็นผู้นำทัพเกมรุกของทีม เช่นเดียวกับทีมชาติเยอรมนีที่เขายกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีม โดยแม้จะพูดไม่เยอะแต่ใช้การทำให้ดู (Lead by example) แทน
สำหรับลิเวอร์พูล ทีมมี “ผู้นำ” ในทีมเยอะแยะแล้ว เวียร์ตซ์คงไม่ต้องแบกรับอะไรขนาดนั้นหากย้ายทีมสำเร็จจริง แต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังจากเขาคือการเป็นผู้นำของทีมในยุคต่อไป โดยเฉพาะการรับไม้ต่อจากโม ซาลาห์ ในฐานะสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมที่ปัจจุบันกำลังจะอายุครบ 33 ปีในวันที่ 15 มิถุนายนนี้
ซาลาห์ เป็น “เอซ” ของทีมตลอด 8 ฤดูกาลที่ผ่านมา พาทีมประสบความสำเร็จมากมายโดยใช้การทำผลงานในสนามเป็นเครื่องพิสูจน์
ลิเวอร์พูล ทุ่มเทขนาดนี้เพื่อเวียร์ตซ์ ก็เพราะหวังว่าเขาจะก้าวขึ้นมาทดแทนได้นั่นเอง
5. ลงทุนสูง ผลตอบแทนต้องงาม
ถึงแม้ว่าค่าตัวของเวียร์ตซ์จะแพงระยับ (ไม่ว่าจะจบที่ตัวเลขเท่าไรก็ตาม ย่อมเป็นสถิติใหม่อยู่แล้ว) และผิดวิสัยของลิเวอร์พูลอยู่มากจากภาพลักษณ์ของทีมที่ใช้ Moneyball ซื้อฉลาด ขาย (โคตร) ปราดเปรื่อง
แต่ไม่ใช่ครั้งแรกในยุคของ FSG ที่พวกเขายอมทุ่มแบบนี้ ก่อนหน้านี้มี 2 ครั้งที่ลิเวอร์พูลใช้จ่ายระดับทำลายสถิติของสโมสร
รายแรกคือ เวอร์จีล ฟาน ไดค์ สุดยอดปราการหลังที่คว้าตัวมาจากเซาแธมป์ตันด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ชนิดที่ต้องยอมจ่ายเพิ่มให้กับทีมนักบุญแดนใต้อีกเพราะเกิด “ลั่น” ข่าวหลุดการเจรจากันจนเป็นเหตุให้เซาแธมป์ตันไม่พอใจและล้มการเจรจาไปรอบหนึ่ง
รายต่อมาคือ อลีซง เบ็คเกอร์ สุดยอดผู้รักษาประตูที่มาจากโรมา มาด้วยค่าตัว 75 ล้านเท่ากันแต่คนละหน่วย (ยูโร หรือคิดเป็นเงินปอนด์ในเวลานั้นคือ 67 ล้านปอนด์)
การลงทุนกับทั้ง 2 รายนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูล ยกระดับจากการเป็นทีมที่มีศักยภาพ เป็นทีมที่พร้อมประสบความสำเร็จทันที ซึ่งเราสามารถแปลความหมายได้ว่า หากเป็นผู้เล่นที่จะยกระดับทีมให้สูงขึ้นไปอีกได้ลิเวอร์พูลพร้อมจะจ่าย
และด้วยวัยเพียง 22 ปี เวียร์ตซ์มีอนาคตอีกไกลมากที่รออยู่ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงโอกาสประสบความสำเร็จ แต่หมายถึงโอกาสในการขายเพื่อหาทุนคืนกลับมา ต่อให้อาจจะได้ไม่เท่ากับที่จ่ายไป แต่อย่างน้อยทีมจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากฝีเท้าและพรสวรรค์ของเขา รวมถึงโอกาสทางการค้า (แฟนฟุตบอลทั่วโลก, แฟนฟุตบอลในเยอรมัน ที่คลั่งไคล้ซูเปอร์สตาร์ และสปอนเซอร์ต่างๆ)
ความจริงใน 2 ฤดูกาลก่อนพวกเขาเคยเกือบได้ จู๊ด เบลลิงแฮมมาร่วมทีมแล้วแต่ตัดสินใจใช้งบก้อนนั้นในการยกเครื่องมิดฟิลด์ทั้งแผง (แม็คคัลลิสเตอร์, คราเฟนแบร์ก, โซโบสไล และวาตารุ เอ็นโด) และความจริงก็เคยเกือบได้ตัว โรเมโอ ลาเวีย กับมอยเซส ไคเซโด ซึ่งรายหลังข้อเสนอ 110 ล้านปอนด์ได้รับการตอบรับจากไบรท์ตันแล้วด้วย
การทุ่มเงินเพื่อซื้อเวียร์ตซ์จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ถ้ามองแบบนี้
และอย่าลืมว่าลิเวอร์พูลมีแผนจะปล่อยผู้เล่นออกจากทีมอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น ดาร์วิน นูนเยซ, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, เบน โด๊ก, คอสตัส ซิมิกาส, เฟเดริโก คิเอซา, หลุยส์ ดิอาซ (ไม่นับควีวิน เคลเลเฮอร์ ที่ได้เงินกลับมา 20 ล้านปอนด์)
เงินพวกนี้คือเงินที่เอามาใช้ลงทุนเพื่อต่อทุนนั่นเอง
Moneyball ไหมละ?
6. Statement ของสโมสร
สิ่งที่ FSG เผชิญมาโดยตลอดคือคำครหาว่าไม่ยอมทุ่มเงินเพื่อลงทุนกับลิเวอร์พูลเท่าไรนัก ซึ่งเป็นภาพติดตาจากในช่วงที่ผ่านมาที่มักจะมีช่วงปิดฤดูกาลที่เงียบเหงาไม่มีการเสริมทัพคึกคักเหมือนคู่แข่ง เรื่องนี้แม้จะอธิบายได้ในหลักการว่า “ก็ทีมดีอยู่แล้ว” แต่มันก็ชวนตั้งคำถามได้เหมือนกันถึงความตั้งใจของสโมสร
การลงทุนกับเวียร์ตซ์ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของสโมสรว่าพร้อมที่จะเดินหน้าเพื่อสานต่อความสำเร็จ ยกระดับทีมให้ดีขึ้น พร้อมที่จะชนกับคู่แข่งทุกทีม โดยเฉพาะช่วงปิดฤดูกาลนี้ที่ไม่ว่าจะ แมนเชสเตอร์ ซิตี, อาร์เซนอล, เชลซี หรือแม้แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างพร้อมปรับทัพเสริมทีมขนานใหญ่
FSG ยังจะใช้โอกาสนี้ในการบอกต่อนักลงทุนที่เคยสนใจลิเวอร์พูลว่า เวลานี้พวกเขากลับมาเอาจริงเอาจังกับสโมสรแล้วหลังแอบมีอาการ “ปล่อยจอย” ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเพราะคิดถึงเรื่องการขายหุ้นสโมสรออกไปให้นักลงทุนที่สนใจ
อย่างน้อยในระหว่างนี้ก็ขอให้แสดงความสนใจกันไปพลางๆ ก่อน จนกว่า FSG จะเปลี่ยนใจ แต่เชื่อว่าน่าจะอีกนาน เพราะลงทุนมากขนาดนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจของกลุ่มที่จะเดินหน้าไปหาความสำเร็จและการสร้างแบรนด์ลิเวอร์พูลในระยะยาวแน่นอน
7. เพราะมีใจ
สิ่งสุดท้ายและสำคัญที่สุดที่ทำให้ลิเวอร์พูลยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อเวียร์ตซ์ ไม่มีอะไรยากหรือซับซ้อน
นักเตะมีใจในการย้ายทีม และ “เชื่อ” ในแนวทางของสโมสร โดยเฉพาะหลังได้โอกาสพูดคุยกับอาร์เน ชล็อต ถึงแนวทางในการเล่นและสิ่งที่คาดหวังจากเขาในชุดสีแดงเพลิง
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกนักเตะของลิเวอร์พูล เพราะต่อให้เก่งแค่ไหน ค่าตัวน่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีใจให้ก็ไม่อยากได้
ที่แอนฟิลด์เราต้อนรับเฉพาะคนมีใจเท่านั้น ไม่สำคัญด้วยว่าจะได้ลงสนามหรือไม่ หรือจะพาทีมประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ไม่เชื่อลองดูคิเอซาและบทเพลงเชียร์ประจำตัวของเขาได้
เดอะ ค็อปท่านหนึ่งที่ไม่ขอเอ่ยนามกล่าวไว้ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงใครเลย
จริงจริ๊ง