การได้คลุกคลีในแวดวงความงามทำให้เรารู้ว่าการจะมีผิวที่ดีจนถึงขั้นโกลวเปล่งประกายนั้น หากปราศจากเรื่องกรรมพันธุ์แล้ว ต้องแลกมาด้วยวินัยในการบำรุงประกอบกับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ อย่างยิ่งยวด
ซึ่ง อู๋-อนิวรรต ณ นคร หนุ่มพีอาร์ Country Director แห่ง Touch PR & Events ผู้เป็นที่รู้จักในแวดวงแบรนด์ความงามระดับท็อป เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่เราต้องเอ่ยปากชมงานผิวโกลวอันเป็นซิกเนเจอร์ของเขาในทุกครั้งที่เจอ
ภาพจำของอู๋สำหรับเราคือ หนุ่มสังคมที่ไม่ใช่แค่แฟชั่นจัดจ้านแต่ยังปาร์ตี้จัดเต็มชนิดที่ไม่สุดไม่กลับบ้าน จนเราอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า ใช้ชีวิตสุดขนาดนี้ มีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองอย่างไรให้ ‘เป๊ะ’ อยู่ตลอด โดยเฉพาะผิว จากบทสนทนากับเขาล่าสุดทำให้เราพบว่า อู๋ที่เราเห็นในวันนี้ ไม่ใช่อู๋ในภาพจำนั้นอีกต่อไป
อู๋เผยถึงด้านมืดที่ชีวิต ‘พัง’ จากภาวะ OCD, ADHD และความเป็น Perfectionist ที่พาตัวเองไปสุดทุกทาง ฉากหลังความสดใสของอู๋ในโลกโซเชียลคือผู้ชายที่จ้องจับผิดตัวเองในกระจกตลอด และยอมประโคมทุกสิ่งเพื่อให้ได้ผิวดีที่สุด คนที่ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงกลับบ้านตี 2 แต่ยังกัดฟันอดนอน ตบสกินแคร์ 20 สเต็ปอีก 2 ชั่วโมงเพราะรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ทำ คนที่ฝืนออกกำลังหนัก เคร่งการกิน อัดอาหารเสริมเพื่อให้ได้หุ่นแน่นโตสมใจโดยไม่ฟังเสียงร่างกายตัวเอง
ทุกสิ่งที่พยายามทำมาทั้งหมดกลับให้ผลลัพธ์สวนทาง สมองและร่างกายไม่ฟังก์ชัน ผิวเยิน หุ่นเสีย ไม่มีความสุข
ภาวะที่สุขภาพองค์รวมพังทลายในวันนั้น ได้กลายเป็นบทเรียนครั้งใหม่ที่ทำให้อู๋รู้จักคำว่า ‘ใจดีกับตัวเอง’ แล้วค้นพบ ‘The New Glow’ ที่ไม่ใช่แค่กับผิว แต่เป็นความเปล่งประกายใหม่ในชีวิต
เราเชื่อว่าเรื่องราว มายด์เซ็ต และวิถีชีวิตในสมดุลใหม่ที่อู๋ค้นพบจากความเจ็บมาเยอะ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับผู้อ่านชาว LIFE ที่กำลังเผชิญกับภาวะแบบเดียวกันอย่างแน่นอน
อะไรที่เป็นจุดทำให้อู๋อินกับเรื่องสกินแคร์
อู๋: ต้องบอกว่าเราเป็นคนดูแลตัวเองตั้งแต่เด็ก เพราะเห็นแม่เราประโคมเยอะมาก ถ้าตอนแรกเลยสิ่งที่สนใจคือแค่เมกอัพแล้วมันก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่าถ้าผิวดีแล้ว แทบไม่ต้องใช้เมกอัพเลย จนถึงยุคโควิดใหม่ๆ ตอนนั้นอยู่บ้าน เราเห็นโฆษณาเมืองนอกที่มันโผล่ขึ้นมาก็รู้สึกว่า ทำไมมันน่าสนใจจัง มันมีหลายอย่างที่เราไม่มี ก็เลยอยากลอง เลยพรีออเดอร์มาเรื่อยๆ ซึ่งการที่มานั่งลองผิดลองถูกนี่แหละทำให้เราค้นพบแพสชัน
ตอนนั้นต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้แคร์ Ingredients อะไร จนมีเพื่อนคนหนึ่งเขามาที่บ้านแล้วเขาเปิดดูตู้สกินแคร์เราปุ๊บ เขามองหน้าเรา แล้วเขาพูดว่า “มีเยอะแล้วหน้ายังเป็นแบบนี้เหรอ อ่าน Ingredients เป็นหรือเปล่า” เพราะสกินแคร์ของเราเป็นแบบซูเปอร์แบรนด์หมด ถ้า Anti-aging ก็จะมีแบบครบเซ็ต มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เราเข้าใจว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทุกอย่างจากในหนึ่งแบรนด์ แล้วก็ต้องอ่าน Ingredients เยอะขึ้น
View this post on Instagram
จากการลองสกินแคร์เยอะๆ เคยมีประสบการณ์ผิวพังขั้นสุดไหม
อู๋: If you never hit rock bottom, you’ll never find the way. พอเรารู้ว่ามันใช้ผสมปนเปได้ก็เป็น Journey ที่พังเหมือนกัน ถ้าเขาให้ใช้ 10 สเต็ปก็ใช้ 10 สเต็ป ลงแล้วลงอีก แล้วพอผิวพังเราก็ไม่รู้ว่ามันพังมาจากสเต็ปไหน เดาเองล้วนๆ
ถ้าผลัดเซลล์ผิวหน้า ตามปกติควรจะต้องพักสัก 3 วันใช่ไหม นี่วันรุ่งขึ้นเรตินอลต่อเลย แล้วก็เคยมีช่วงเข้าใจผิดว่าทากันแดดแล้วผิวจะอุดตัน เลยทาบ้าง ไม่ทาบ้าง ผิวก็ยิ่งพังไปอีก แล้วการกินช่วงนั้นก็แย่มาก เราสามารถกิน ไอศกรีม Guss Damn Good รสยูซุได้วันละ 5 ถ้วย นั่นคือน้ำตาลล้วนๆ นะ แล้วตอนนั้นก็ยังไม่เลิกกินนมวัวด้วย
จุดที่ทำให้พังมากอีกเช่นกันก็คือ ช่วงที่ปาร์ตี้แหลกลาญ ซึ่งเราน่าจะเห็นกันอยู่ (หัวเราะ) แต่ก่อนตอนเป็นมนุษย์ปาร์ตี้เนี่ย เรารู้สึกว่าบาลานซ์ไม่ได้ ปาร์ตี้มันคือ Priority มันเป็นความสนุก ไปอีเวนต์เสร็จไปกันต่อ ช่วงนั้นปาร์ตี้เสร็จกลับบ้านมาตี 2 เราก็ยังต้องบำรุงผิวให้ครบนะ ทำไป 2 ชั่วโมง กว่าจะนอนคือตี 4 กลายเป็นว่าเสียการนอนช่วงนั้นไปแล้ว แล้วด้วยความที่ทั้งดื่ม ทั้งเผาผลาญไว มันเลยทำให้หัตถการใดๆ ที่ทำมาไปไวหมด ก็เลยอาศัยทางลัดอย่างเดียว เดี๋ยววิ่งเข้าคลินิกทำหน้า เอะอะดริปวิตามิน รู้สึกว่าเหี่ยวตอนไหนก็ไปทำ รู้สึกว่าอยากได้บูสต์ก็ไปทำ เคยแบบแรนดอมมาก เที่ยวๆ อยู่เดินเข้าคลินิกไปฉีดปากเพราะเห็นหน้าตัวเองแล้วปากแฟบ
View this post on Instagram
เหมือนเราเสพติดการทำหัตถการด้วยไหม
อู๋: ด้วย และด้วยความเป็น OCD โดยธรรมชาติ สมมติมุมปากนิดหนึ่งไม่เท่ากัน เอาละ เราหาเรื่องจับผิดตัวเอง เอาจริงๆ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากนะ คือบางคนใช้โซเชียลมีเดียในการกดดันตัวเอง แต่เราใช้ตัวเองในการกดดันตัวเอง
แล้วพูดกดดันตัวเองเก่งมาก แบบ ไม่ได้สิ ถ้ามันจะ Flawless มันต้องห้ามมีสิวแม้แต่เม็ดเดียว OCD เนี่ยช่วยหลายอย่างนะ แต่ว่าไม่ช่วยก็หลายอย่าง (หัวเราะ)
เพราะว่าเป็นคนแบบทุกอย่างมันเหมือนต้องเพอร์เฟกต์ไปหมด แล้วมันลงกับตัวเองซะเยอะ กดดันตัวเองเกินเบอร์ทุกวัน จนหลายทีที่แฟนอู๋บอกว่า ไม่มีใครมองอะไรขนาดนั้นเลย เธอไม่ต้องเครียดอะไรขนาดนั้นก็ได้ นี่บอก ไม่เธอ เพราะฉันมองแล้วฉันเห็น Beauty Motto ตอนนั้นเลยคือโฟกัสแค่หน้า
แล้วช่วงนั้นก็ออกกำลังกายหนักมากอีก เรา Workout against my own body type. คืออู๋เป็นผู้ชายที่ตัวใหญ่มากแต่ขาตะเกียบแบบ You forgot your leg days everyday. หุ่นแบบสามเหลี่ยมคว่ำ ก็โหลดทั้งโปรตีน ทั้ง Mass Gainer บางวันกินโปรตีนไม่ไหวก็ฝืนอัดไป กลายเป็นว่าผิวก็พังกว่าเดิม ช่วงไดเอ็ตก็กินขนมแบบนับชิ้นอย่างจริงจัง ครบ 5 ชิ้นปั๊บปิดกระปุก ถ้ากินเกินต้องไปเดินชดใช้ เรากดดันตัวเองตลอดเวลา
เรียกว่าเจ็บมาเยอะอยู่
อู๋: เจ็บมาเยอะ อีกจุดที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนก็คือช่วงที่ติดโควิดครั้งแรก จำได้ว่าเป็นคนป่วยที่ทิ้งทุกอย่าง ยังดูแลผิวนะ ใช้เวลาจูนจากช่วงแรกๆ ประมาณ 2-3 ปีถึงจะเริ่มอยู่ตัว แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย เพราะรู้สึกไม่อยาก มันเหนื่อยจัด กลายเป็นมนุษย์เหี่ยวไปเลย มันกลายเป็นเราแบบโฟกัสได้อย่างหนึ่งแล้ว กู้ผิวกลับมาได้แล้ว แต่อีกอย่างก็พัง
พอหายโควิดเราก็จอยกับการกินมาก ยังคงไม่ออกกำลังกาย จำได้ว่ามีวันหนึ่งขับรถไปออฟฟิศแล้วกินเยอะมาก กิน Acai Bowl นู่นนี่ จนเข็มขัดที่ใส่ไป ‘แตก!’ ซึ่งมันไม่ควรขาดไง ตอนนั้นสิ่งที่คิดคือแบบ ผิวหน้าสวยมากแต่หุ่นนี่ไม่ได้เลย
กลายเป็นว่ายังไม่กลับมาออกกำลังนะ แต่กลับมาเริ่มปรับอาหารก่อน คือเลิกกินน้ำตาลทุกเช้า แต่ก่อนนี่กาแฟแบบ 3-in-1 ง่ายๆ โคตรจะ Unhealthy เลย ตอนนี้คือกาแฟดำ ถ้าอยากใส่นมเราใส่ Pistachio Milk แทนเพราะเราเป็น Lactose Intolerance ไปแล้วตั้งแต่ก่อนเลิกนมวัว แล้วก็เปลี่ยนจากขนมปังที่มีนมเป็นแบบขนมปังฟักทอง ย่อยง่ายดี แต่ยังเป็นมนุษย์ชอบที่ชอบกินเนื้อสัตว์อยู่นะไม่ได้เป็นสายวีแกนอะไร แล้วก็เริ่มเดินจากบ้านไปออฟฟิศแทนขับรถ ไป 2 กิโลเมตร กลับ 2 กิโลเมตร ก็ลดน้ำหนักตัวเองลงไปประมาณหนึ่ง หน้าท้องคือสิ่งแรกเลยที่ลดเร็วมากๆ
จากนั้นมีช่วงที่ไปขาหักที่สิงคโปร์เลยเพิ่งมารู้สึกว่ารูปร่างเรามันไม่สมส่วน ข้างบนหนักเกินแล้วช่วงขาเล็ก มวลมันไม่ได้ ตอนนั้นผอมลงจนคนทักว่า ผิวอู๋ยังสวยนะ แต่ดูซูบมาก มันฟังดูน่ากลัวนะสำหรับคนที่ต้องการจะผิวโกลว หรือผิวสุขภาพดีเพราะร่างกายมันก็มีส่วนสำคัญ ก็เลยกลับมาบาลานซ์ตัวเองใหม่
View this post on Instagram
บอกตัวเองว่าต่อไปนี้ฉันไม่ต้องตัดปัญหาด้วยการกินแล้วฉันจะกลับมาออกกำลังกายเรื่อยๆ แล้วมันกลายมาเป็นการออกแบบไร้เป้าหมาย หมายความว่าเราไม่ได้ Set Expectation ให้ตัวเองเหมือนแต่ก่อนว่า วันนี้ต้องได้นมแบบนี้ วันนี้ต้องได้ไหล่แบบนี้ เมื่อก่อนนะถ้าตื่นมาอีกวันแล้วไม่ปวดแปลว่าเล่นไม่ถึง
View this post on Instagram
ทุกวันนี้อยากกินอะไรก็กิน เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้เช้าเราก็ไปเดิน Outdoor Walk หรือ Long Hike อยู่ดี และต่อให้เราได้ยินว่าต้องกินโปรตีนให้ถึงแต่ถ้าวันนั้นเราไม่ไหว มันต้องปล่อยเพราะว่าฝืนไม่ได้ ท้องมันจะอืด เราจะไม่สามารถนอนกับคนข้างๆ แล้วตดไปเรื่อยๆ ได้ (หัวเราะ)
เริ่มใจดีกับตัวเองมากขึ้น
อู๋: ใช่ ใจดีกับตัวเองขึ้นเยอะ กลายเป็นว่าพอเราเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายแบบไม่กดดันตัวเอง ตอนนี้รู้สึกรูปร่างสมส่วนขึ้น ไม่ได้ใหญ่เท่าเมื่อก่อนแต่จับไปตรงไหนก็แน่น แล้วพอเปลี่ยนการกินไปด้วย เปลี่ยนจากเวย์โปรตีนเป็น Soy Bean หรือ Plant-based Protein ปรากกฎว่าผิวดีขึ้นจริง
View this post on Instagram
อู๋ในวันนั้นที่เป๊ะสุดโต่งทุกทางกับอู๋ในวันนี้ที่ยืดหยุ่นกับทุกอย่างมากขึ้น รู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร
อู๋: รู้สึกดีมาก ไม่บอกว่าเฮลตี้เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีใครเฮลตี้ที่สุด แต่เรารู้สึกเรา Healthier เรารู้สึก Fresher เรามีบาลานซ์กับตัวเองเยอะขึ้น เมื่อก่อนเราไปโฟกัสกับหน้าหนักๆ กลายเป็นว่าจุดอื่นมันก็ไม่บาลานซ์
ร่างกายของคนมันเป็นระบบนิเวศที่ฉลาดมากระบบหนึ่งที่มันเอื้อกันไปหมด เพราะฉะนั้นคือถ้าเกิดคุณไปไม่ฉลาดกับเขาอย่างที่เราทำมาก่อนน่ะ เราก็จะเห็นแค่สิ่งที่เราไปโฟกัสหนักๆ
กลายเป็นว่าทุกวันนี้เห็นตัวเองในภาพรวมดีขึ้นมาก ตอนนี้หุ่นอาจจะไม่ได้สวยที่สุด ผิวอาจจะไม่ได้ฉ่ำโกลวที่สุด แต่เราแฮปปี้กับบาลานซ์ที่เราได้
เหมือนเรารู้สึกผิดกับตัวเองน้อยลงด้วย
อู๋: คือไม่รู้สึกผิดเลย แต่ก่อนจะมีกังวลว่า วันนี้ยังไม่ได้ออกกำลังกาย ตอนนี้มันจะมีวันที่แบบฉันลุกขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่า ถ้าต้องไปทำสิ่งนั้น ฝืนตัวเองไหม? ฝืน โอเคไม่ทำละ แล้วเราก็จะไปนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไร ซึ่งโอเคมาก เพราะรู้สึกว่าชีวิตเรามันเร็วทุกวันเลย งานเราเป็นพีอาร์มันเร็วตลอด แถมเราจะต้องมานั่งแทร็ก Schedule ตัวเองในการดูแลตัวเองอีก ดูแลตัวเองไม่พอต้องมานั่งให้เวลาคนข้างๆ อีก หรือไปเล่นกับแมว
ท้ายที่สุดแล้วเราต้องแบ่งเวลาให้ได้ แล้วถ้า ณ วันใดวันหนึ่งจะไม่ทำอะไรเลย ก็อย่ารู้สึกผิด แฟนเคยพูดสิ่งนี้กับอู๋แล้วอู๋รู้สึกรู้แจ้งมาก แฟนบอกว่า “You’ve done a lot. If you’re gonna be lazy for just one full day, you don’t have to feel guilty about it ‘cause you don’t kill anyone. No one dies from it.”
ด้วยความเป็น OCD, ADHD ซึ่งเป็น Neurodiversity สมองมันก็จะสั่งการแหละว่าวันนี้ต้องทำอะไรสักอย่าง (หรือหลายๆ อย่าง แต่มาเป็นลิสต์ที่ยาวของแต่ละวัน) ไม่งั้นวันนี้มันจะเสียฟรี แต่พอเข้าใจก็รู้สึกว่า เออชิลก็ได้นิ ในเรื่องงานก็ปรับ ถ้ายังไม่ถึงเวลางาน อู๋ก็คือจะเปิด DND (Do not disturb) ไปเลย ห้ามกวนฉันแล้วฉันก็จะไม่กวนใครด้วย
ทุกวันนี้ยังปาร์ตี้อยู่ไหม
อู๋: ตอนนี้คือน้อยลงมาก แทบจะไม่ปาร์ตี้เลย เหมือนอายุมากขึ้นแล้วอยากอยู่บ้านมากขึ้น ถ้าสมมติเรามีปาร์ตี้จริงๆ เราก็จะไป 1-2 ชั่วโมง จะไม่ค่อยปล่อยตัวเอง คือไม่ได้ฝืนตัวเองนะ แต่มันจะเหมือนแบบรู้สึกว่า มันถึงเวลาแล้ว ออกมาสนุกแล้ว และเธอต้องกลับไปนอน เพราะเธอมีหน้าที่วันรุ่งขึ้น เอาพอสนุกแล้วก็กลับบ้าน
ถึงบ้านอย่างแรกเลยที่ต้องทำก็คือ Double Cleanse มันคือการ Take the day off แบบหมดจด และหลายๆ ครั้งก็แค่ตามด้วย Overnight Mask ตัวเดียวไปเลย และต้องดื่มชา Sleepy Time ก่อนนอน
ถ้ารู้ว่าตื่นมาตาบวมแน่ก็จะทาอายครีม และนวดน้ำเหลืองด้วยนิ้วมือนี่แหละเล็กน้อย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วก็ข้าม Body Care ไปเพราะว่าเราเหนื่อยแล้ว
เรารู้สึกว่า การไปเที่ยวคือกลับมาแล้วให้ตัวเองตื่นมาสบายดีกว่า เคยกลับมาแล้วเอนไปเอนมา ทำเสียงดัง ไปปลุกคนอื่นตื่น คือกลายเป็นคุณไปทำลาย Self-care คนอื่นแล้ว
แล้วดูแลตัวเองอย่างไรหลังจากคืนปาร์ตี้
อู๋: อีกวันตื่นมาก็จะ Stretching ก่อน หรือมีเวลาก็จะออกไปดริปวิตามินสักนิดหนึ่งส่วนมากเป็นสูตรวิตามินซี หรือถ้าไม่มีเวลาก็เพิ่มโดสของ Vitamin C, Astaxantin, Grape Seed, Zinc ที่กิน แล้วก็มาสก์หน้าไฮโดรเจลทิ้งไว้เลย 3 ชั่วโมง บวกกับดื่ม Cold-pressed Juice เพื่อเป็นการดีท็อกซ์และไล่ Toxin ออกจากร่างกาย
ในส่วนหัตถการเองก็ทำน้อยลงเหมือนกันไหม
อู๋: น้อยลง แต่ก่อนนี่ต้องไปทำทุกหกเดือน ตอนนี้หมอก็มีให้ฉีด Bio-stimulator เหมือนกันนะแต่เราใจเย็นขึ้นเยอะ รู้สึกว่ายังไม่จำเป็นขนาดนั้น ถ้าเมื่อก่อนทำไปแล้ว ปัจจุบันคือ Ultherapy ปีละครั้ง หลังๆ Ultraformer ก็เอาอยู่ โบท็อกซ์ปีละครั้ง
ทุกวันนี้มันไม่ใช่การมองกระจกแล้วแบบฉันจะทน ไม่ทำ แต่มันแค่มองแล้วรู้สึกว่า เออก็ได้นิ ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม เรายังมี Priority อื่นในชีวิต มันคือการเห็นตัวเองและพอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่
ทุกวันนี้สกินแคร์รูทีนของอู๋เปลี่ยนไปอย่างไร
อู๋: กลางคืนก็ Double Cleanse ก่อน เป็นตัว Oil-based Makeup Remover นั่นแหละ แล้วก็นวดไป ล้างหน้าแล้วก็เป็นโฟมอีกรอบหนึ่ง แล้วแต่วันด้วย ถ้าวันนี้แค่แบบอยู่บ้านหรือแค่ออกกำลังกายในฟิตเนส ที่คอนโด อู๋จะแทบไม่ใช้โทนเนอร์ อาจจะใช้มิสต์นิดหนึ่งให้มันสามารถแบบดูดซึมทุกอย่างลงได้ ส่วนเซรั่มทุกวันนี้จะใช้ไฮยาผสมกับ Aging แล้วไม่เลเยอร์ด้วย
หรือถ้าจริงๆ ในใจรู้สึกว่าวันนั้นแบบเธอไม่ได้อยากแก้เรื่องความกระจ่างใสในช่วงนี้แต่อยากได้ความตึง ก็เปลี่ยนเซรั่มคืนนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้น Playing Factor จะมีแค่ตัวเดียว คือเซรั่ม เพราะสำหรับเราเซรั่มเปรียบเสมือน Main Course ของสกินแคร์รูทีนนั่นเอง
อยากให้อู๋เคาะ Top 3 สกินแคร์ตัวโปรดหน่อย
อู๋: Augustinus Bader The Rich Cream เพราะผิวเราต้องเพิ่มเพื่อไฮเดรชัน มอยส์เจอร์มันต้องเพิ่ม สิ่งนี้มันมาครบทุกอย่างเลยนะ ใช้ครีมน้อยได้ แต่ใช้ตัวเดียวให้เปรี้ยงที่สุด
สองคือ Black Diamond Hydrogel Mask ของ 111Skin รัดหน้ารัดคาง มาสก์เสร็จแล้วไม่ต้องแต่งหน้า ไปทาสกินแคร์ต่อ ลงแค่ครีมหนึ่งตัวแล้วหยดออยล์สักหน่อย วันรุ่งขึ้นน่ะ คือสิ่งนี้ (ชี้ผิวหน้าตัวเอง) คนจะชอบคิดว่ามาสก์ 15 นาทีโยนทิ้งได้เลย นั่นน่ะเปลืองมากจริงๆ มาสก์ไปเลย 3 ชั่วโมง เอาจนแห้ง (หัวเราะ)
สาม Body Oil ของ Sol de Janeiro เราดูแลตัวเรา ดูแลหน้าจริงจังแบบทุกอย่างแล้วแต่บอดี้มันลืมไม่ได้จริงๆ นะ ตัวนี้ช่วยเรื่องของอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นจากข้างใน แล้วมันรักษาแทนนิ่งดีมาก
(แถมอีกตัว) ส่วน LED Mask ของ Dennis Gross มันเป็นตัวหนึ่งในตลาดที่ Wave Length ถึง
ได้ US FDA ไฟน้ำเงินช่วยเรื่องสิว ไฟแดงช่วยคอลลาเจน ต้องบอกว่ามันเป็น Best Skin Investment ถ้าไม่มีตัวนี้ก็ไม่มีวันนี้ หัตถการทำเยอะตัวนี้มันก็ช่วย Maintain เยอะมาก
ส่วนตัวอู๋คิดว่าส่วนผสมอะไรที่ดีจึ้งแต่คนไทยมักมองข้าม
อู๋: สควาเลนกับคาคาดูพลัม คนไทยเราอาจจะชินกับชื่อไฮยาลูรอนิกซึ่งจริงๆ มันมีจังหวะเหมือนกันที่ใช้แล้วไม่ได้รู้สึก เพราะฉะนั้นคือเราสามารถเปลี่ยนแอ็กทีฟเป็นแบบไฮเดรเตอร์ตัวอื่นได้ สควาเลนก็ได้ ส่วนคาคาดูพลัมส่วนมากมันมากับความชุ่มชื้นและมีวิตามินซีริชด้วย ว่าคนไทยยังไม่ค่อยพูดถึงกันเพราะมันไม่ใช่ผลไม้บ้านเรา นี่แหละแต่ว่าน่าสนใจอะ
ยิ่งถ้าแพริ่งวิตามินซีกับกันแดดนะ คือ The Best คนจะเข้าใจผิดว่าวิตามินซีออกแดดหน้าไหม้ (Photosensitizing) จริงๆ ไม่ใช่ ถ้าใช้เรตินอลตอนกลางคืนแล้วตอนเช้าไม่ทากันแดดนี่แหละไหม้ แต่ Vit C+SPF จะช่วยปกป้องผิวได้ดีขึ้น
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังเริ่มจะหันมาดูแลตัวเอง
อู๋: ให้เริ่มช้าๆ แล้วอย่าตกใจกับข้อมูลทั้งหลายแหล่ อะไรที่มันไม่อยู่ตรงกลางมันก็ ไม่ดี คุยกับตัวเองเยอะๆ ฟังตัวเองเยอะๆ คุยกับคนอื่นมันได้แบบ Opinion มาอยู่แล้วแหละ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต้องออกมานั่งกับ Process กับตัวเองว่า Is this right for me?
เรา Afford ไหวไหม ถ้าไม่ไหวเราผ่านได้เลย พยายามหาสิ่งที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง ไม่ต้องไปตามคนอื่น
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์, ณัฐนิชา หมั่นหาดี