วันนี้ (12 พฤษภาคม) วันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับผู้อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทราบว่ายังมีแสงเพลิงอยู่ในอาคารที่ 3 ของโรงงาน คิดเป็นประมาณ 20% โดยด้านข้างของโรงงานที่ติดกับซอย เจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านของโรงงานยังคงมีควันดำพวยพุ่งออกมา ซึ่งแนวทางปฏิบัติการต่อจากนี้จะนำรถมาเจาะเปิดกำแพงด้านข้าง เพื่อลำเลียงน้ำเข้าไปดับเพลิงที่ชั้นใต้ดินที่เพลิงยังลุกไหม้อยู่ คาดว่าจะควบคุมเพลิงได้ดีขึ้น เพื่อความไม่ประมาท จึงมีการเตรียมโฟมเคมีจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมและภาคีเครือข่ายไว้พร้อมปฏิบัติการ
อย่างไรก็ตามจากการตรวจวัดสภาพอากาศรัศมี 300 เมตรจากโรงงานที่เกิดเพลิงไหม้ พบค่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีทั้ง PM2.5, เขม่าดำ, ก๊าซพิษทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์, สไตรีน, และฟอร์มาลดีไฮด์ หน้ากากอนามัยทั่วไปไม่สามารถป้องกันได้ ต้องใช้หน้ากากอนามัย N95 ขึ้นไปเท่านั้น หากฝนตกในขณะที่ยังควบคุมเพลิงไม่ได้ ก็จะชะล้างสารพิษและก๊าซพิษต่างๆ ให้กระจายออกไปด้านข้างมากขึ้น
ทำให้จำเป็นต้องปิดศูนย์พักพิงโรงเรียนลำพะอง และอพยพประชาชนที่อยู่ศูนย์พักพิงจุดนี้ไปยังศูนย์พักพิงแห่งใหม่ที่โรงเรียนวัดสุทธาโภชน์ ซอยฉลองกรุง 8 และต้องเร่งดับเพลิง
ทั้งนี้ สารพิษเหล่านี้จะคงอยู่ในอากาศรัศมี 300 เมตรต่อไปอีก 5-7 วัน ดังนั้นสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ปิดบ้านให้มิดชิด ใช้เทปพลาสติกปิดซีลตามขอบประตูขอบหน้าต่างทั้งหมด ห้ามเปิดแอร์ แต่ให้เปิดพัดลมระบายอากาศแทน
หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่อันตรายให้พักอยู่ในบ้าน หากออกนอกบ้านให้สวมหน้ากากอนามัย N95 ขึ้นไป ทั้งนี้ สารพิษเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้รู้สึกมึน วิงเวียนศีรษะ หายใจไม่ออก ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจและเยื่อบุตา ระคายเคืองผิวหนัง เบื้องต้นสามารถล้างออกได้ด้วยน้ำสบู่ แต่ถ้าเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว ไม่สามารถชำระล้างได้
นอกจากนี้ยังมอบหมายให้สำนักงานเขตลาดกระบัง ศูนย์บริการสาธารณสุข กระจายกันออกไปทำความเข้าใจกับประชาชนในชุมชนที่อยู่ใต้ลม หรือทางด้านท้ายโรงงาน โดยยังมีกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงอยู่ในรัศมีอพยพประมาณ 12 คน ที่เจ้าหน้าที่สำนักอนามัยร่วมกับแพทย์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปประชาสัมพันธ์ให้อพยพแล้ว
ส่วนเจ้าของโรงงานซึ่งเป็นคนไทยได้เข้ามาพบเจ้าหน้าที่แล้ว ซึ่งก็ให้ข้อมูลว่ามีเม็ดพลาสติกอยู่ในโรงงานกว่า 300 ตัน ซึ่งถือว่าเยอะมาก แต่ก็เผาไหม้ไปเกือบหมดแล้ว และพื้นโรงงานมีการทรุดไปยังพื้นด้านล่างบางส่วน ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่จัดการดับเพลิงเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะเข้าตรวจสอบสาเหตุเพลิงไหม้ต่อไป ยังไม่ขอคาดการณ์ถึงสาเหตุเพลิงไหม้
ด้านผู้อำนวยการเขตลาดกระบังเปิดเผยว่า อยู่ระหว่างให้ฝ่ายโยธาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องการก่อสร้างอาคารและใบอนุญาตต่างๆ ของโรงงานต่อไป