×

3 ปี ชัชชาติ ‘เมืองที่มีสมอง หัวใจ ข้อมูล’ กับปีสุดท้ายของบทพิสูจน์ผู้ว่าฯ กทม.

โดย THE STANDARD TEAM
08.05.2025
  • LOADING...
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงานครบรอบ 3 ปี กับนโยบาย 'เมืองที่มีสมอง หัวใจ และข้อมูล

“การขับเคลื่อนเมืองไม่สามารถทำได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง ต้องเกิดจากการร่วมมือกัน”

 

นี่คือคำกล่าวเปิดของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในวันแถลงผลงานครบรอบ 3 ปี (7 พฤษภาคม) ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่กำลังคลี่คลาย และประชาชนที่กำลังถามหาความหวัง

 

หลังจาก 1,095 วันของการทำงาน ภายใต้แนวคิด ‘เมืองที่ทุกคนเท่ากัน’ และนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเปลี่ยนแปลงในระดับ ‘ระบบ’ ที่ไม่เพียงทำให้เมืองทันสมัยขึ้น แต่ยังเป็นบททดลองสำคัญของการนำ ‘การเมืองแบบใหม่’ มาปะทะกับโครงสร้างราชการเก่าแก่ที่ซับซ้อนของกรุงเทพฯ

 

ขณะที่กรุงเทพมหานครในยุคของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เดินทางเข้าสู่ปีที่ 4 ของการบริหารที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน ขณะที่อีกหนึ่งปีข้างหน้าจะเป็นปีชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองครั้งสำคัญ ว่าเขาจะสามารถรักษาความเชื่อมั่นและขอคะแนนจากประชาชนได้อีกครั้งหรือไม่

 

คำถามสำคัญในตอนนี้คือ สามปีที่ผ่านมา เขาทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้นจริงหรือไม่ และเขาพร้อมสำหรับโอกาสอีกครั้ง หรือยัง

 

ปีสุดท้ายนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ชัชชาติเป็นแค่นักบริหาร หรือเป็นผู้นำที่คนเชื่อว่าควรได้รับโอกาสอีกครั้ง

 

จากผู้สมัครอิสระ สู่นักบริหารแห่งความหวัง

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ชัชชาติได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายจากประชาชนในฐานะผู้สมัครอิสระ ภายใต้ภาพจำ ‘ผู้ว่าฯ ที่แข็งแรงที่สุดในปฐพี’ แต่สิ่งที่เขานำมาสู่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ กลับลึกซึ้งกว่านั้นมาก

 

ชัชชาติไม่ได้เพียงปรับโครงสร้างการบริหารภายใน กทม. แต่เขาพยายามสร้างระบบใหม่ที่เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ผ่านเครื่องมืออย่าง Traffy Fondue และ Bangkok Open Data ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหากว่า 750,000 เรื่อง และมีผู้ใช้งานข้อมูลสาธารณะมากกว่า 4 ล้านครั้ง

 

นี่ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหา แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมการบริหารใหม่ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง โดยเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง สิ่งนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดสวยหรู แต่ชัชชาติและทีมพยายามนำมันไปปฏิบัติจริง เช่น การผลักดัน Digital Classroom และใช้ AI ฝึกภาษาเด็กนักเรียน การตรวจสุขภาพประชาชนกว่า 780,000 คน พร้อมฐานข้อมูลสุขภาพออนไลน์ การใช้กล้อง AI CCTV เชื่อมต่อข้อมูลทะเบียน ปรับพฤติกรรมคนขับรถ

 

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ภายใต้ชัชชาติ ไม่ใช่แค่เมืองใหญ่ที่ทำงานด้วยแรงคน แต่คือเมืองที่ใช้ ข้อมูล ความร่วมมือ และเทคโนโลยี เป็นหัวใจ

 

เมืองที่ ‘ทันโลก’ แต่ยังไม่แน่ว่า ‘ถึงใจ’

 

หัวใจของการบริหารยุคชัชชาติ คือการผสมผสานระหว่าง ‘สมอง’ ของเทคโนโลยี และ ‘หัวใจ’ ของการเข้าใจชีวิตผู้คน

 

จากการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย 446 จุด ที่ไม่ใช้กำลังแต่ใช้ความร่วมมือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวกว่า 1.8 ล้านต้น และสวน 15 นาที ใกล้บ้านกว่า 199 แห่ง จนถึงการสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เสนอความเห็นผ่าน ‘สภาเมืองคนรุ่นใหม่’

 

กรุงเทพฯ เริ่มเปลี่ยนจากเมืองที่มีปัญหาเฉพาะหน้า มาเป็นเมืองที่มองเห็นภาพอนาคต และพยายามทำให้คนทุกกลุ่มมีที่ยืน

 

เมื่อพิจารณาผลงานเชิงโครงสร้าง ชัชชาติสอบผ่าน ระบบราชการของ กทม. เริ่มโปร่งใสขึ้น ข้อมูลเปิดเผยมากขึ้น ความร่วมมือกับประชาชนและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในทุกมิติ มีวิธีคิดใหม่ ๆ เช่น การปรับระบบอนุญาตก่อสร้างให้รู้ผลใน 14 วัน สร้างแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการรายย่อย มีพื้นที่ขายแบบ Hybrid ลดขยะได้มากกว่า 12% และประหยัดงบกว่า 1,200 ล้านบาท

 

แต่คำถามสำคัญที่ชัชชาติยังต้องตอบในปีสุดท้ายคือ สิ่งที่ทำมาเหล่านี้ คนรู้สึกว่า ‘ชีวิตดีขึ้น’ จริงไหม

 

ถ้าถามคนในชุมชนแออัด เขตชั้นใน คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนหาเช้ากินค่ำ พวกเขาอาจยังไม่รู้สึกว่า “เมืองนี้ยืนข้างเขา” มากพอ

 

เพราะแม้ระบบจะดี แต่การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ยังเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ น้ำท่วม รถติด ฝุ่น และปัญหาปากท้องที่ไม่ตอบโจทย์ด้วยนโยบายเชิงเทคนิคเพียงอย่างเดียว

 

ความสำเร็จที่แท้จริงคือการทำให้คนรู้สึกว่า เมืองนี้มีเขาอยู่ในแผนด้วย

 

สิ่งที่ชัชชาติทำได้ดีคือ สร้างภาพจำใหม่ให้กับคำว่า ผู้ว่าฯ กทม. เขาไม่ใช่เพียงเจ้าหน้าที่ปกครองตามระบบราชการ แต่เป็น ‘ผู้นำแห่งความหวัง’ ที่วิ่ง เช็กอิน ตอบโซเชียล และอธิบายงานอย่างมีเหตุผล

 

ในยุคที่ประชาชนไม่เชื่อใจพรรคการเมืองมากนัก การมีผู้ว่าฯ แบบชัชชาติ คือช่องว่างที่คนรู้สึกว่า ยังพอหวังกับการเมืองได้

 

แต่ในปีที่ 4 นี้ ความหวังนั้นจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะ เชื่อม ‘เมืองที่มีสมอง’ ให้เป็น ‘เมืองที่มีหัวใจ’ ได้มากน้อยแค่ไหน

 

ใช้ระบบที่สร้างมาแล้ว ไปช่วยคนตัวเล็กที่ยังเข้าไม่ถึงบริการพื้นฐานได้มากน้อยเพียงใด

 

เปลี่ยนภาพจำ ‘เทคโนโลยี’ ให้กลายเป็น ‘ชีวิตที่ดีขึ้นจริง’ สำหรับคนส่วนใหญ่

 

ปีสุดท้าย จะส่งไม้ต่อ หรือขอโอกาสอีก

 

ชัชชาติยังไม่ประกาศว่าจะลงสมัครอีกครั้งหรือไม่ แต่เมื่อดูจากการวางรากฐานของหลายโครงการใหญ่ เช่น การเจรจาคืนรถไฟฟ้าสายสีเขียว การผลักดันแก้ไข พ.ร.บ. กทม. เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างโรงพยาบาลใหม่หลายแห่ง โครงการ Business Lab, Bangkok Public Square, สวนบึงฝรั่ง และการตั้งศูนย์ควบคุมข้อมูลเมือง

 

นี่คือสิ่งที่สะท้อนว่า เขากำลังออกแบบ ‘เมืองในอีก 10 ปีข้างหน้า’ มากกว่าแค่จัดการปัญหารายวัน

 

ดังนั้น ถ้าเขาตัดสินใจลงสมัครอีกครั้ง สิ่งที่ต้องทำให้คนเชื่อไม่ใช่แค่ว่าเขายังขยันเหมือนเดิม แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าเมืองของเขา มีอนาคตที่คนส่วนใหญ่เห็นตัวเองอยู่ในนั้นได้จริง

 

จะดีพอให้คนเลือกอีกครั้งหรือไม่

 

ชัชชาติ คือผู้ว่าฯ ที่เปลี่ยนแนวทางการบริหารเมืองจากอำนาจรวมศูนย์ มาเป็นความร่วมมือและข้อมูลอย่างแท้จริง

 

เขาไม่ได้แค่เป็นผู้ว่าฯ ที่โปร่งใส แต่เป็น ผู้ว่าฯ ที่มีเป้าหมายชัด และทำงานแบบคนในศตวรรษที่ 21

 

แต่ในเมืองที่มีคนกว่า 10 ล้านคน ปัญหาก็ไม่ได้มีเพียงข้อมูลหรือขั้นตอน แต่คือ ‘ความรู้สึกของคน’ ว่าเมืองนี้มีความยุติธรรม ให้โอกาส และมองเห็นทุกชีวิตจริงๆ หรือไม่

 

ปีที่ 4 จึงไม่ใช่แค่ปีสุดท้ายของวาระ แต่คือปีที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ต้องพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่แค่ผู้บริหารที่มีระบบ แต่เป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในระดับชีวิตคน

 

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ เขาจะลงอีกไหม แต่คือคนกรุงเทพฯ จะให้โอกาสเขาอีกครั้งหรือไม่

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising