พรรค PAP (People’s Action Party) คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ไปแบบถล่มทลาย โดยกวาดที่นั่งสมาชิกรัฐสภา 87 จาก 97 ที่นั่ง และเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง นับตั้งแต่ก้าวขึ้นรับตำแหน่งแทน ลีเซียนลุง เมื่อปีที่แล้ว
การเลือกตั้งของสิงคโปร์ครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 14 มีขึ้นท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และอนาคตเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยพรรค PAP ได้คะแนนโหวต 65.6% เพิ่มขึ้นจาก 61.23% ในการเลือกตั้งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2020
ขณะที่หว่องกล่าวขอบคุณต่อประชาชนที่มอบอาณัติในการบริหารประเทศ พร้อมทั้งชี้ว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้สิงคโปร์อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการเผชิญกับสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“ผลการเลือกตั้งจะทำให้สิงคโปร์อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการเผชิญกับโลกที่วุ่นวายนี้ หลายคนกำลังจับตาดูการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างประเทศ นักลงทุน หรือรัฐบาลต่างประเทศ พวกเขาคงจะต้องจดบันทึกผลการเลือกตั้งในคืนนี้
“มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความไว้วางใจ ความมั่นคง และความเชื่อมั่นในรัฐบาล ชาวสิงคโปร์เองก็สามารถดึงความแข็งแกร่งจากสิ่งนี้และมองไปข้างหน้าสู่อนาคตของเราได้เช่นกัน”
สำหรับชัยชนะของพรรค PAP และการครองเสียงข้างมากในสภา แทบจะเป็นบรรทัดฐานปกติในการเลือกตั้งของสิงคโปร์
โดยพรรค PAP ซึ่งนำพาสิงคโปร์ให้เจริญรุ่งเรือง เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการปราบปรามผู้เห็นต่าง ขณะที่อิทธิพลของพรรคถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหาเสียง หว่องเน้นย้ำคำสัญญาว่ารัฐบาลของเขาจะนำพาสิงคโปร์ ‘ฝ่ามรสุม’ และความท้าทายของสถานการณ์โลก แต่เตือนว่าหากพรรคฝ่ายค้านได้ที่นั่งสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้น พรรค PAP อาจต้องสูญเสียรัฐมนตรีที่มีความสามารถไป ในช่วงเวลาที่ธรรมาภิบาลเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้ หว่องเคยเตือนว่า สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบอย่างหนักหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ตามที่เขาประกาศไว้ และสิงคโปร์จำเป็นต้องเปิดกว้างและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับผลกระทบดังกล่าว
ภาพ: Edgar Su / Reuters
อ้างอิง: